ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่ “A” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ “BBB+”, แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 15, 2023 10:38 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (MINT22PA และ MINT23PA) ของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่?

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็งของบริษัทจากการมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งรวมทั้งทำเลที่ตั้งของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจร้านอาหารที่ครอบคลุม อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังการเกิดโรคระบาด ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตและลดภาระหนี้ลงได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกและเงินเฟ้อที่สูง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผลการดำเนินงานของโรงแรมแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของทั้งอัตราการเข้าพัก (Occupancy rate -- OR) และราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (Average Daily Rate -- ADR) สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (Revenue per Available Room -- RevPAR) ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของจะเติบโต 15% ในปี 2566 และประมาณปีละ 5% ในช่วงปี 2567-2568

ประมาณการดังกล่าวสะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของโรงแรมจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในปี 2566 จากการฟื้นตัวของการเดินทางเพื่อธุรกิจและการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมจากการเดินทางระหว่างประเทศที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมง ซี่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ OR ในปี 2566 และคาดว่าจะกลับสู่ระดับก่อนการเกิดโรคระบาดได้ในปี 2568 ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดว่า ADR จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปแต่ด้วยอัตราการเพิ่มที่น้อยกว่าปีที่แล้ว

ในยุโรป ทริสเรทติ้งมองว่าความต้องการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของการเดินทางเพื่อธุรกิจจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ RevPAR อยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดได้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในระยะยาว ทริสเรทติ้งคาดว่ารูปแบบการเดินทางจะกลับสู่ภาวะปกติจากการที่ข้อจำกัดเรื่องจำนวนเที่ยวบินและเรื่องต้นทุนจากเงินเฟ้อผ่อนคลายลง ซึ่งจะส่งผลให้การเดินทางระหว่างประเทศที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมงเพิ่มขึ้น ในประเทศไทย การเพิ่มขึ้นของ RevPAR ในหลายไตรมาสที่ผ่านมาเป็นผลจากการเพิ่ม ADR ขณะที่ OR เพิ่มขึ้นได้ช้ากว่า การเพิ่มขึ้นของการเดินทางระหว่างประเทศที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมงและการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะช่วยเพิ่ม OR และสนับสนุนผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในไทยในอนาคต ทริสเรทติ้งยังคาดอีกว่าธุรกิจโรงแรมแบบ Management Letting Rights (MLR) ของบริษัทซึ่งอยู่ในประเทศออสเตรเลียเป็นหลักจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่องจากความต้องการในประเทศที่ยังแข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้นสำหรับธุรกิจโรงแรมในมัลดีฟส์ ทั้งจากภายในประเทศและสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ RevPAR ในมัลดีฟส์

ธุรกิจร้านอาหารเติบโต

ด้วยทั้งการเติบโตของยอดขายของร้านเดิมและการเปิดร้านใหม่ ทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้ของบริษัทจากธุรกิจร้านอาหารจะอยู่ที่ระดับ 3-3.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2568

ทริสเรทติ้งคาดว่าการเติบโตจะมาจากแบรนด์หลัก เช่น ?เดอะ พิซซ่า คอมปะนี? ?บอนชอน? และ ?ซิซซ์เล่อร์? และยังคาดว่าผลการดำเนินงานของร้านริเวอร์ไซด์ในประเทศจีนจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งจากปีก่อนหน้าหลังจากที่มีการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ กิจกรรมการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นยังจะส่งผลบวกต่อแบรนด์ที่มีเป้าหมายเป็นนักท่องเที่ยวเช่น ?เบอร์เกอร์คิง? และ ?เดอะคอฟฟี่คลับ? ในไทย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีการขยายสาขาของร้านอาหารมากขึ้นหลังจากที่ชะลอไปเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ทริสเรทติ้งมองว่าสถานะในตลาดที่แข็งแกร่งด้วยแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับและข้อได้เปรียบในการแข่งขันจากขนาดที่ใหญ่จะเป็นปัจจัยส่งเสริมผลประกอบการของบริษัทในอนาคตท่ามกลางภาวะการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบรนด์ร้านอาหารของบริษัทส่วนใหญ่รองรับกับทั้งการนั่งทานที่ร้านและดิลิเวอรี่สอดรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ภาวะเศรษฐกิจและความต้องการจับจ่ายใช้สอยที่อ่อนแอเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของธุรกิจ อย่างไรก็ดี การทำการตลาดและการปรับเปลี่ยนเมนู การปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ตลอดจนกิจกรรมโปรโมชั่นต่าง ๆ จะช่วยให้แบรนด์ยังคงตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคและลดทอนผลกระทบดังกล่าว

แรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งประมาณการว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 1.43-1.6 แสนล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 จากการที่ทุก ๆ ธุรกิจของบริษัทฟื้นตัวจากการตกต่ำในช่วงเกิดโรคระบาด แม้ว่าการขยายใหญ่ขึ้นของธุรกิจจะช่วยในเรื่องของการเฉลี่ยต้นทุน แต่เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องมีแนวโน้มจะจำกัดความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แม้ว่าบริษัทจะส่งผ่านต้นทุนบางส่วนไปยังผู้บริโภคด้วยการเพิ่มราคาทั้งห้องพักและเมนูอาหาร แต่ก็มีข้อจำกัดจากภาวะที่การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยมีความอ่อนไหวจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มาตรการลดต้นทุนที่เกิดขึ้นในช่วงเกิดโรคระบาดอาจไม่สามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่องได้ทั้งหมดเมื่อธุรกิจขยายตัว ทริสเรทติ้ง จึงคาดว่า อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 25%-27% ในระหว่างปี 2566-2568 EBITDA ที่จะอยู่ที่ระดับ 3.6-4.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2568

ทริสเรทติ้งประมาณการเงินทุนจากการดำเนินงาน (Funds from Operations -- FFO) ของบริษัทที่ระดับ 2.4-3 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2568 การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท ทั้งนี้ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2565 ต้นทุนดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5% การบริหารจัดการหนี้อย่างต่อเนื่องของบริษัททั้งการจ่ายหนี้คืนก่อนครบกำหนด การรีไฟแนนซ์ และการใช้เครื่องมือเพื่อป้องกันความเสี่ยง (hedging) ได้ช่วยลดทอนผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 สถานะหนี้สินที่รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทมีสัดส่วนหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 57% และมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว 43% โดยสกุลเงินหลักเป็นสกุลเงินยูโร 64% และเงินบาท 27% ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยต่อ FFO จะอยู่ในวิสัยที่บริษัทบริหารจัดการได้ เนื่องจากทริสเรทติ้งมองว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจากผู้กำหนดนโยบายจะชะลอตัวลง

สถานะอัตราส่วนหนี้สินปรับตัวดีขึ้น

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 5-6 เท่าในปี 2566-2567 และลดลงต่ำกว่า 5 เท่าในปี 2568 จากการที่ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ จากการดำเนินงานที่ดีขึ้น บริษัทมีแนวโน้มเน้นการเติบโตและโอกาสในการลงทุนที่มีการชะลอไว้ในช่วงที่เกิดโรคระบาด ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีแผนลงทุนที่จำนวนประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และ 1.1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2567-2568

ทั้งนี้ หนี้สินทางการเงินของบริษัทได้รับการปรับปรุงด้วยภาระค้ำประกัน รวมทั้งภาระผูกพันที่มีกับบริษัทที่เกี่ยวข้องในสัญญาเช่าดำเนินงาน และหนี้สินอันเกิดจากตราสารหนี้ที่มีลักษณะคล้ายทุน (Perpetual Securities) ซึ่งตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตนั้น ทริสเรทติ้งพิจารณาให้เงินต้นคงค้างของหุ้นกู้ประเภทด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่ออกภายในประเทศของบริษัทจำนวน 2.35 หมื่นล้านบาทเป็นทุน 50% และอีก 50% เป็นหนี้สินทางการเงิน ในขณะที่หุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิและมีประกันลักษณะคล้ายทุนที่ออกในต่างประเทศทั้งจำนวนรวม 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นถือว่าเป็นหนี้สินทางการเงินทั้งจำนวน

ณ เดือนมีนาคม 2566 บริษัทมีหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนจำนวน 4.4 หมื่นล้านบาทจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยทั้งหมดจำนวน 1.54 แสนล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระคืนก่อนเมื่อเทียบกับหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 29%

ตามข้อกำหนดทางการเงินหลักของเงินกู้จากธนาคารและตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.75 เท่านั้น ณ เดือนมีนาคม 2566 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.94 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการ

สภาพคล่องเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้า แหล่งที่มาของเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือจำนวนประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2566 รวมถึงวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนอีกจำนวนประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5-2.7 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์ว่าบริษัทจะได้รับเงินจากการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิประมาณ 7 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระรวม 2 หมื่นล้านบาท การไถ่ถอนหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิและมีประกันลักษณะคล้ายทุนที่ออกในต่างประเทศทั้งจำนวนรวม 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภาระผูกพันในสัญญาเช่าดำเนินงานประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท จ่ายเงินปันผลประมาณ 1.3 พันล้านบาท และมีแผนการลงทุนอีกประมาณ 1.5-2 หมื่นล้านบาท

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? RevPAR ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของและเช่าดำเนินการจะเติบโตที่ประมาณ 15% ในปี 2566 และประมาณปีละ 5% ในช่วงปี 2567-2568

? รายได้จากธุรกิจร้านอาหารจะอยู่ที่ 3-3.4 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568

? รายได้รวมจะอยู่ที่ระดับ 1.42-1.59 แสนล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568

? EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 25%-27% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568

? ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 1.1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2567-2568

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งที่มีต่อการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของผลการดำเนินงานทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินของบริษัท และคาดว่าบริษัทจะดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างรอบคอบโดยมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากเพียงพอที่จะรองรับธรรมชาติที่เป็นวงจรและมีความผันผวนของธุรกิจโรงแรมรวมถึงสภาวะเงื่อนไขในการดำเนินงานที่เปลี่ยนไปในทางที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไปจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่บริษัทมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่อ่อนแอกว่าประมาณการ ไม่ว่าจะเกิดจากสภาวะเงื่อนไขในการดำเนินธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย หรือในกรณีที่บริษัทมีการลงทุนที่ใช้การก่อหนี้ขนาดใหญ่เพิ่มเติม

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 28 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT)

อันดับเครดิตองค์กร: A

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

MINT237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,059.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A

MINT243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,635.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

MINT243B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,165.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

MINT247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,501.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

MINT249A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A

MINT255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A

MINT255B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,769.03 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A

MINT257A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,440.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A

MINT267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A

MINT277B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,230.97 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A

MINT283A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A

MINT293A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,815.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A

MINT293B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,684.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A

MINT313A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A

MINT313B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,570.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A

MINT313C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,430.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A

MINT329A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A

MINT343A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,070.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2577 A

MINT343B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,430.00 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2577 A

MINT22PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 13,000.00 ล้านบาท BBB+

MINT23PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 10,500.00 ล้านบาท BBB+

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 3,000.00 ล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 1,000.00 ล้านบาท A

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ