ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ใหม่ “บ. บัตรกรุงไทย” ที่ “A-”และประกาศเครดิตพินิจแนวโน้ม “Developing”ให้อันดับเครดิตทั้งหมด

ข่าวทั่วไป Friday April 24, 2009 16:42 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A-” เท่ากัน นอกจากนี้ยังประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Developing” หรือ “ยังไม่ชัดเจน” แก่อันดับเครดิตของบริษัทด้วย อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้บริษัทสามารถดำรงสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิต ในการให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 49.45% ณ วันที่ 2 เมษายน 2552 ด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งเหล่านี้ถูกลดทอนบางส่วนจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่ไม่เอื้ออำนวย และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบของทางการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวของสินเชื่อ คุณภาพสินทรัพย์ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต

“เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Developing” หรือ “ยังไม่ชัดเจน” สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่อันดับเครดิตของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้อันเนื่องมาจากผลของการเพิ่มทุนตามแผนของบริษัท โดยทริสเรทติ้งจะพิจารณายกเลิก “เครดิตพินิจ” เมื่อบริษัทสามารถบรรลุความสำเร็จในการเพิ่มทุน อย่างไรก็ตาม หากแผนเพิ่มทุนของบริษัทไม่ประสบผลสำเร็จ อันดับเครดิตก็อาจถูกปรับลดลง

ทริสเรทติ้งรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 ที่ประชุมกรรมการบริษัทบัตรกรุงไทยมีมติอนุมัติแผนการเพิ่มทุนของบริษัทจาก 2,578 ล้านบาทเป็น 10,313 ล้านบาทโดยการจัดสรรหุ้นใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ธนาคารกรุงไทยได้ผ่านมติคณะกรรมการของธนาคารเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 เห็นชอบให้ธนาคารซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัทได้ตามสิทธิ และต่อมาในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงไทยเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 ก็มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทตามสิทธิดังกล่าว ทั้งนี้ หากแผนการเพิ่มทุนประสบความสำเร็จ บริษัทก็จะมีเงินทุนที่แข็งแกร่งเพียงพอรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วได้ การถือหุ้นในบริษัทของธนาคารกรุงไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับในปัจจุบันเนื่องจากราคาใช้สิทธิที่ระดับพาร์ 10 บาทนั้นสูงกว่าราคาหุ้นในตลาดมาก ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ต่ำที่ผู้ถือหุ้นรายอื่นจะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในกรณีที่ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียวที่ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 79.65% หลังจากการเพิ่มทุน ด้วยจำนวนเงินเพิ่มทุนจำนวน 3,825 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการเพิ่มทุนดังกล่าวขึ้นอยู่กับมติประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จะถึงในวันที่ 30 เมษายน 2552 นี้ หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมีมติไม่เห็นชอบกับแผนเพิ่มทุน ก็จะมีผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทบัตรกรุงไทยยังคงสามารถรักษาสถานะผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตได้อย่างต่อเนื่องด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดของจำนวนบัตรที่ 12.7% ณ เดือนธันวาคม 2551 ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 12.3% ณ เดือนธันวาคม 2550 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทางธุรกิจล้วน มีผลจำกัดการขยายตัวของสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ปัจจัยดังกล่าว ได้แก่ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นในการกำหนดคุณสมบัติของผู้ถือบัตร การกำหนดอัตราขั้นต่ำในการจ่ายคืนหนี้ การกำหนดเพดานดอกเบี้ยสำหรับธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ภาวะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง และเกณฑ์การตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เข้มงวดขึ้น การรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ดีจึงเป็นสิ่งท้าทายสำคัญสำหรับบริษัทในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว เพื่อลดระดับการถดถอยลงของคุณภาพสินทรัพย์ ผู้บริหารของบริษัทจึงได้ดำเนินมาตรการป้องกันหลายประการในปี 2551 ได้แก่ การใช้เกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อและนโยบายการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวดขึ้น และมีแผนในการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรในกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 บริษัทมียอดรวมสินเชื่อคงค้างจำนวน 50,587 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% จาก 44,922 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2550 โดยยอดสินเชื่อคงค้างดังกล่าวประกอบด้วยสินเชื่อจากบัตรเครดิต 71% สินเชื่อส่วนบุคคล 26% สินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย 2% และสินเชื่อธนวัฎบัตรเครดิตอีก 1% แม้ว่าบริษัทจะประกาศกำไรสุทธิสำหรับงวดปี 2551 จำนวน 520 ล้านบาท ซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2551 แต่ก็เป็นระดับที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเป็น 3,288 ล้านบาทในปี 2551 จาก 2,539 ล้านบาทในปี 2550 อัตราส่วนในการทำกำไรจึงค่อนข้างจะทรงตัว โดยอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.1% และ 8.6% ตามลำดับในปี 2551 เทียบกับระดับ 1.2% และ 9.0% ในปี 2550

อัตราสินเชื่อค้างชำระของบริษัทมีระดับเพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 อัตราสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) ของบริษัทมีสัดส่วน 4.2% ซึ่งลดลงจาก 4.3% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 แต่อัตราส่วนหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิกลับเพิ่มขึ้นจาก 5.5% ในปี 2550 เป็น 6.3% ในปี 2551 อัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อปรับตัวสูงขึ้นจาก 2.51% ณ สิ้นปี 2549 เป็น 3.84% ณ สิ้นปี 2550 และ 3.81% ณ สิ้นปี 2551 การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเป็นผลมาจากการถดถอยลงของคุณภาพสินทรัพย์และเกณฑ์การตั้งสำรองสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่เข้มงวดขึ้น โดยตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 เกณฑ์ในการคำนวณการตั้งสำรองใช้ค่าสถิติความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงย้อนหลัง 3 ปีบวกกับค่าความเสี่ยงในอนาคตที่สะท้อนถึงภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ตั้งสำรองในอัตรา 2% ของยอดสินเชื่อที่ค้างชำระน้อยกว่า 180 วัน

การขยายตัวของบัญชีลูกค้าสินเชื่อมีผลทำให้การก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อทั้งสินทรัพย์รวมของบริษัทลดลงจาก 13.64% ณ สิ้นปี 2549 มาอยู่ที่ 12.96% ณ สิ้นปี 2550 และลดลงต่อเนื่องมาอยู่ในระดับ 11.88% ในปี 2551 ในขณะที่อัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อเงินให้สินเชื่อรวมลดลงจาก 14.17% ในปี 2549 มาอยู่ที่ 13.25% ในปี 2550 และ12.19% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนก็เพิ่มขึ้นจาก 5.94 เท่าในปี 2549 เป็น 6.33 เท่าในปี 2550 และ 7.03 เท่าในปี 2551

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า สถานะสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทอยู่ในเกณฑ์เพียงพอ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2551 แหล่งเงินทุนของบริษัทมาจากทั้งสถาบันการเงินและตลาดตราสารหนี้ โดยโครงสร้างเงินทุนประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้น 36% เงินกู้ยืมระยะยาวซึ่งรวมเงินกู้ร่วม 32% และหุ้นกู้ 32% ความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นเมื่อได้รับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทยเพิ่มขึ้นจากจำนวน 13.03 พันล้านบาทเมื่อปลายปี 2551 เป็น 18.03 พันล้านบาทในปัจจุบัน ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552ยอดเงินกู้ยืมคงค้างของบริษัทที่มีกับธนาคารกรุงไทยมีจำนวน 11.65 พันล้านบาท หรือ 65% ของวงเงินทั้งหมดที่ได้รับจากธนาคาร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่ใช้วงเงินเพียง 120 ล้านบาท หรือ 0.9% ของวงเงินที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมด ณ เดือนกันยายน 2551 ทั้งนี้ เนื่องจากภาวะวิกฤตทางการเงินของโลกที่ทำให้นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากขึ้น จึงทำให้บริษัทต่ออายุตั๋วแลกเงินได้ยากขึ้น บริษัทจึงหันมาพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากธนาคารกรุงไทยมากขึ้น — จบ

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC)
อันดับเครดิตองค์กร:                                                  คงเดิมที่ A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KTC09OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2552                    คงเดิมที่ A-
KTC102A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553                    คงเดิมที่ A-
KTC104A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553                    คงเดิมที่ A-
KTC106A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553                    คงเดิมที่ A-
KTC113A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554                    คงเดิมที่ A-
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2555            A-
แนวโน้มเครดิตพินิจ:                                                  Developing หรือ ยังไม่ชัดเจน
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2552 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ   แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ  ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน  บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ