ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday June 30, 2010 14:04 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่ได้เสนอผลการพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างระเบียบในเรื่องนี้ต่อไป

ข้อเท็จจริง

1. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ส่งร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตาม แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปเพื่อคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ตรวจพิจารณา ตามมติคณะรัฐมนตรี (22 มิถุนายน 2553)

2. คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ได้ประชุมเพื่อพิจารณาร่างระเบียบดังกล่าว เมื่อวันพุธที่ 23 มิถุนายน 2553 ซึ่งประกอบด้วย นายวัฒนา รัตนวิจิตร ประธานกรรมการ นายกมลชัย รัตนสกาววงศ์ รองประธานกรรมการ และกรรมการประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงาน ก.พ.ร.(นายพงษ์อาจ ตรีกิจวิริยะกุล) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (นายสงขลา วิชัยขัทคะ) ผู้แทนกระทรวงการคลัง (นางสาวอัมพวัน ฉันทราภิรมย์สุข) และผู้แทนสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นายศิริ เลิศธรรมเทวี)โดยมีผู้แทนกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและกรมบัญชีกลาง) และสำนักงบประมาณ เข้าร่วมชี้แจงรายละเอียด

3. คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาร่างระเบียบดังกล่าว และมติคณะรัฐมนตรี (22 มิถุนายน 2553) ประกอบคำชี้แจงของผู้แทนกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณแล้วมีความเห็น ดังนี้

3.1 ปัจจุบันมีโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติพร้อมทั้ง จัดสรรวงเงินไปเรียบร้อยแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินโครงการซึ่งกว่าจะเสร็จต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 1 หรือ 2 ปีหรือมากกว่านี้ โดยปัจจุบันมีวงเงินคงเหลือประมาณ 10,768.53 ล้านบาท และมีวงเงินเหลือจ่ายจากโครงการดังกล่าวอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากนัก โดยวงเงินเหลือจ่ายดังกล่าวส่วนหนึ่งต้องจัดเก็บไว้จ่ายชดเชยค่างานก่อสร้างที่ได้ทำสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ก่อน (ตามระเบียบฯ ข้อ 27) และหากมีเงินเหลืออยู่จำนวนเท่าใดจึงจะนำมาจัดสรรให้กับโครงการใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว

3.2 เมื่อพิจารณาจากวงเงินคงเหลือและเหลือจ่ายตามข้อ 3.1 ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก หากนำมาจัดสรรใหม่ให้กับโครงการต่าง ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งอาจจะมีจำนวนมากและเป็นโครงการขนาดใหญ่ ก็จะไม่สามารถจัดสรรให้แต่ละโครงการได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อาจทำให้การดำเนินโครงการไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาลและอาจเกิดผลกระทบกับโครงการใหม่ที่ไม่ได้รับการอนุมัติเนื่องจากวงเงินจัดสรรไม่เพียงพอ

3.3 การนำเงินคงเหลือและเหลือจ่ายมาจัดสรรใหม่ให้แก่กระทรวงหรือหน่วยงานซึ่งมิใช่เจ้าของโครงการเดิมตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าโครงการเหล่านี้เป็นโครงการใหม่ จะต้องเริ่มดำเนินการตามที่ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ กำหนดตั้งแต่เริ่มต้นโดยเริ่มตั้งแต่การเสนอโครงการ การพิจารณากลั่นกรองโครงการและการอนุมัติ โครงการ (ตามหมวด 3 ของระเบียบฯ) แต่หากคณะรัฐมนตรีจะกำหนดให้นำเงินคงเหลือและเหลือจ่ายมาจัดสรรให้แก่กระทรวงหรือหน่วยงานอื่นที่มีโครงการซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปแล้วและยังไม่ได้รับการจัดสรรวงเงินก็จะทำให้โครงการเหล่านั้นสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่

3.4 โดยที่ข้อ 25 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ กำหนดให้เมื่อหน่วยงานเจ้าของโครงการได้รับการจัดสรรเงินกู้ตามข้อ 17 (2) สำหรับโครงการที่จะดำเนินงานในพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการใช้จ่ายเงินกู้ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเหลือจ่ายจากโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้เสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้พิจารณาอนุมัติ ดังนั้น การนำเงินคงเหลือและเหลือจ่ายมาจัดสรรใหม่ สมควรดำเนินการภายใต้หลักการเดียวกับข้อ 25 ของระเบียบฯ โดยให้นำโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วแต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรวงเงิน เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พิจารณาอนุมัติ ซึ่งจะเป็นการดำเนินโครงการภายใต้หลักการและมาตรฐานทำนองเดียวกัน ไม่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งในภายหลัง

3.5 คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย ฯ คณะที่ 2 จึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาทบทวนหลักการของเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยสมควรกำหนดให้นำเงินคงเหลือและเหลือจ่ายมาจัดสรรให้แก่กระทรวงหรือหน่วยงานอื่นที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติโครงการไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรวงเงิน จะทำให้การดำเนินโครงการที่อยู่ภายใต้หลักการและมาตรฐานทำนองเดียวกัน ไม่ก่อให้เกิดความลั่กลั่นและข้อโต้แย้งในภายหลัง ซึ่งหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายฯ คณะที่ 2 จะได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขระเบียบในเรื่องนี้ให้สอดคล้องกันต่อไป

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 มิถุนายน 2553--จบ--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ