รายงานสถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์ในสหราชอาณาจักรธันวาคม 2552

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 6, 2010 18:09 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. สมาคมผู้ผลิตและค้ายานยนต์และชิ้นส่วน (The Society of Motor Manufacturers and Traders Limited หรือ SMMT) รายงานสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 สรุปได้วายอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในเดือนพฤศจิกายนมีจำนวน 158,082 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.6 เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนปี 2551 ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถใหม่ในรอบ 11 เดือนของปี 2552 ยังคงมียอดลดลงร้อยละ 8.8 โดยมียอดรวม 1,844,063 คัน

2. ผู้บริหารของ SMMT วิเคราะห์ว่าเดือนพฤศจิกายนถือเป็นเดือนที่มียอดจดทะเบียนรถใหม่สูงเกินความคาดหมาย สาเหตุหลักยังคงเป็นการขยายเวลาการใช้มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ซึ่งให้ส่วนลดแก่ผู้ต้องการเปลี่ยนรถใหม่ (Scrappage Scheme) โดยมีสัดส่วนจากยอดจดทะเบียนใหม่ทั้งหมดในเดือนนี้ถึงร้อยละ 21.6 นอกจากนี้ยอดจดทะเบียนรถใหม่ที่เพิ่มขึ้นน่าจะเป็นผลมาจากอัตราภาษีการค้าซึ่งจะกลับไปใช้อัตราร้อยละ 17.5 เดือนมกราคม 2553 จากอัตราร้อยละ 15 จากอัตราร้อยละ 15 ส่งผลให้บริโภคเร่งตัดสินใจซื้อรถยนต์คันใหม่ในปีนี้ และคาดว่ายอดจดทะเบียนรถใหม่ในเดือนธันวาคมนี้จะยังคงขยายตัวต่อไป

3. ความคาดหมายต่อสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในปี 2553 ยังคงมีความไม่แน่นอน โดยประเด็นที่จะส่งผลกระทบหลักคือการสิ้นสุดลงของมาตรการ Screappage Scheme ซึ่งภาครัฐยืนยันว่าไม่ขยายเวลาการใช้มาตรการอีกต่อไป รวมถึงภาษีการค้าซึ่งกลับมาใช้อัตราเดิมที่ร้อละ 17.5 ตลอดจนภาษีผู้ใช้รถยนต์ (Raod Tax) ซึ่งมีกำหนดเริ่มใช้อัตราใหม่ในเดือนเมษายน 2553

4. ยอดรถยนต์จดทะเบียนใหม่รวม 1,844,063 คันในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ สามารถแบ่งตามชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้เป็นรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินร้อยละ 57.6 หรือ 1,062,504 คัน เครื่องยนต์ดีเซลร้อยละ 41.6 จำนวน 767,571 คัน เครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกอื่นร้อยละ 0.8 มีจำนวน 13,988 คัน และแบ่งเป็นรถยนต์ที่จดทะเบียนส่วนบุคคลจำนวน 930,984 คันหรือร้อยละ 50 ประเภทรายกลุ่ม (Fleet) จำนวน 821,537 คันหรือร้อยละ 44.6 และประเภทธุรกิจจำนวน 91,524 คันคิดเป็นร้อยละ 5.0 ของยอดรวม

5. รถยนต์ขนาดเล็กยังคงได้รับความนิยมสูง โดยรถยนต์ขนาดเล็ก (mini) และรถขนาดเล็กเป็นพิเศษ (Supermini) ยังคงเป็นรถรุ่นที่มียอดจดทะเบียนใหม่สูงสุด รถยนต์รุ่นที่มียอดจดทะเบียนในเดือนพฤศจิกายนสูงสุดเรียงตามลำดับมีดังนี้

                                   พ.ย.52           ม.ค.-พ.ย.52
          1) ฟอร์ด เฟียสต้า          8,028 คัน           109,420 คัน
          2) ฟอร์ด โฟกัส            5,646 คัน            86,178 คัน
          3) วอกซ์ฮอล คอร์ซา        5,433 คัน            79,720 คัน
          4) วอกซ์ฮอล แอสทร้า       4,803 คัน            61,460 คัน
          5) บีเอ็มดับบลิว ซี่รี่ 3       3,718 คัน            36,007 คัน
          6) เปอร์โยต์ 207          3,582 คัน            44,601 คัน
          7) เรอโนลต์ คลีโอ         3,491 คัน               -
          8) โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ      3,423 คัน            51,664 คัน
          9) นิสสัน Qashqai         3,127 คัน               -
         10) ออสติน มินิ             3,097 คัน            36,007 คัน

6. ในส่วนของรถเพื่อการพาณิชย์ ยอดจดทะเบียนทั้งรถตู้แวนและรถบรรทุกในเดือนตุลาคมปีนี้ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดจดทะเบียนใหม่รวม 17,227 คัน ลดลงร้อยยะ 37.2 จากช่วงเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า ขณะที่ยอดรวม 11 เดือนยังคงลดลงถึงร้อยละ 36.9 เมื่อเทียบกับปี 2551 มีจำนวน 225,324 คัน ซึ่ง SMMT วิเคราะห์ว่า ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ยังคงอยู่ในช่วงขาลง แต่อย่างไรก็ตามอัตราลดลงเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว ขณะที่รถบรรทุกขนาดใหญ๋ยังคงมียอดจดทะเบียนลดลงต่ออย่างต่อเนื่องอันสะท้อนให้เห็นถึงการขาดความมั่นใจของภาคธุรกิจต่อสภาพเศรษฐกิจ

7. หากแบ่งประเภทรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ออกเป็นรถตู้แวนและรถบรรทุก รถแวนมียอดจดทะเบียนในเดือนพฤศจิกายน จำนวน 15,164 คัน ลดลงร้อยละ 0.7 รวม 11 เดือน ของปีนี้มียอด 172,349 คันลดลงถึงร้อยละ 36.9 ขณะที่รถบรรทุกมียอดจดทะเบียนในเดือนพฤศจิกายน 2,063 คัน ลดลงร้อยละ 54.7 ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถบรรทุกในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวน 32,652 คัน ลดลงถึงร้อยละ 38.9

8. ยอดจดทะเบียนรถปิคอัพในเดือนพฤศจิกายนมียอด 1,096 คันเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.6 ขณะที่ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้มียอดรวม 18,859 คันลดลงร้อยละ 27.6 ขณะที่มียอดจดทะเบียนรถขับเคลื่อนสี่ล้อในเดือนพฤศจิกายนปีนี้จำนวน 441 คันเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.6 มียอดจดทะเบียนในช่วง 11 เดือนของปีนี้ 4,093 คัน ลดลงร้อยละ 16.6

9. มูลค่าการนำเข้ายานยนต์และส่วนประกอบของสหราชอาณาจักรจากไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-ตุลาคม) ยังคงลดลงอย่างรุนแรงถึงร้อยละ 71.39 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 คิดเป็นมูลค่า 120.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แยกเป็นรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มูลค่า 32.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 83 และส่วนประกอบและอะไหล่ 20.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 69.9

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงลอนดอน

ที่มา: http://www.depthai.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ