เอแบคโพลล์เผยภาพลักษณ์ผู้นำ"ยิ่งลักษณ์"ไล่ตาม"อภิสิทธิ์"/อยากเห็นดีเบต

ข่าวการเมือง Sunday May 22, 2011 10:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผยผลสำรวจภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ครั้งที่ 2 มีคะแนนตีตื้นไล่จี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ มาห่างๆ

"ตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์มาจากกลุ่มคนที่ไม่มีความเห็นในการสำรวจครั้งก่อนและเป็นกลุ่มคนที่เริ่มตัดสินใจหลังจากได้รับข้อมูลข่าวสารและมีความชัดเจนของการเปิดตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ในฐานะคู่แข่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกระแสที่ปรากฏของสื่อมวลชน" นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ กล่าว

โดยผลสำรวจที่ออกมาไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในความเป็นผู้นำด้านต่างๆ ของนายอภิสิทธิ์ เพราะความแตกต่างของตัวเลขที่ค้นพบครั้งนี้ยังอยู่ในช่วงของความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 แต่หากพิจารณาเป็นค่าตัวเลขที่ค้นพบในด้านของนายอภิสิทธิ์ พบว่า ลดลงเกือบทุกตัว โดยเฉพาะด้านความเป็นคนรุ่นใหม่จากร้อยละ 42.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 36.0

ขณะที่ความเป็นผู้นำด้านต่างๆ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กำลังมีตัวเลขเพิ่มขึ้นในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่น ความอดทนอดกลั้น รู้จักควบคุมอารมณ์ เพิ่มจากร้อยละ 9.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.2, ความสุภาพอ่อนโยน จากร้อยละ 13.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.9, การได้รับการยอมรับภายในประเทศและต่างประเทศ จากร้อยละ 11.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 17.7, ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี จากร้อยละ 9.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 15.9, ความโอบอ้อมอารี จากร้อยละ 13.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 20.6, ความเป็นผู้นำจากร้อยละ 12.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 20.4, ความรู้ความสามารถ จากร้อยละ 10.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.7, จริยธรรมทางการเมือง จากร้อยละ 11.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.4, การมีวิสัยทัศน์ จากร้อยละ 15.2 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.7, ความเสียสละ จากร้อยละ 11.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 19.1, ความซื่อสัตย์สุจริต จากร้อยละ 10.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 14.7, ความเป็นคนรุ่นใหม่ จากร้อยละ 19.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 29.3, ความคิดสร้างสรรค์ จากร้อยละ 16.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 22.5, ความยุติธรรม จากร้อยละ 10.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.3, ความกล้าคิดกล้าตัดสินใจ จากร้อยละ 19.0 มาอยู่ที่ร้อยละ 25.7, การแก้ปัญหา(บริหาร) ความขัดแย้งได้ดี จากร้อยละ 14.3 มาอยู่ที่ร้อยละ 19.0, ความรวดเร็วฉับไวในการแก้ไขปัญหา จากร้อยละ 15.6 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.3 และมีฐานะร่ำรวย ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ จากร้อยละ 38.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.3

นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 59.4 อยากเห็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทั้งสองคนการแสดงวิสัยทัศน์ทางการเมือง(ดีเบต) ต่อสาธารณชน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และอยากเห็นปฏิภาณไหวพริบ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ เป็นต้น

นายนพดล กล่าวว่า ข้อสมมติฐานที่น่าศึกษาด้านปัจจัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของสาธารณชนต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ที่อาจเพิ่มขึ้นได้อีกคือ น่าจะทดลองใช้ "อาจสามารถโมเดล" ที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เคยใช้เพิ่มความนิยมในอดีตด้วยการลงพื้นที่กางเต็นท์ค้างคืนตั้งโต๊ะรับปัญหาเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร ขณะที่นายอภิสิทธิ์อาจทดลองใช้ "ทฤษฎีแก้วสามใบ" หาเสียงกับกลุ่มกระแสที่เป็นน้ำถ่ายเทได้ง่ายมากกว่ากลุ่มตะกอนที่ค่อนข้างจะไปกวาดมาได้ยากในช่วงระยะเวลาที่จำกัดในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยกลุ่มที่เป็นน้ำมักจะไม่ค่อยติดตามข่าวสารเพราะต้องใช้ชีวิตแบบหาเช้ากินค่ำ หรือหมกมุ่นกับงานจนไม่มีเวลามากพอติดตามข่าวสาร คนเหล่านี้จะได้ใจเมื่อเห็นความเป็นจริงว่าสิ่งที่ปรากฏ"หน้าจอ กับ หน้าบ้านในบ้าน" มันตรงกัน หมายความว่า จะโฆษณาอย่างไรว่าเศรษฐกิจดี แต่ถ้าเงินในกระเป๋าประชาชนไม่มีก็จะไม่มีความหมาย หรือประชาสัมพันธ์ว่าปราบปรามยาเสพติด แต่ในบ้านหรือหน้าบ้านประชาชนมียาเสพติดเต็มไปหมด การ "เล่น" กับกระแสก็จะไม่มีความหมายเปลี่ยนใจประชาชนได้

ทั้งนี้ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ ได้สำรวจความเห็นดังกล่าวจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 2,332 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 16-21 พ.ค.ที่ผ่านมา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ