นายกฯใช้อำนาจมาตรา 44 สั่งย้ายข้าราชการไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่น รวม 23 ตำแหน่ง

ข่าวการเมือง Saturday June 25, 2016 10:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 33/2559 เรื่อง ให้ข้าราชการไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของประเทศ และเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการปฏิบัติราชการอันเป็นแนวทางหนึ่งในการปฏิรูปราชการแผ่นดิน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

ให้ข้าราชการซึ่งถูกร้องเรียนหรือกล่าวหาว่าปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นในพื้นที่ของตนหรือมีการทุจริต หรือประพฤติมิชอบ หรือดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการและมีมูลอันสมควรตรวจสอบ ระงับการปฏิบัติราชการโดยไม่ขาดจากตำแหน่งเดิมและให้ไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่นในสังกัดเดิมเป็นการชั่วคราวตามนัยแห่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ดังต่อไปนี้

1 นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย

2 นายวาทิต สุวรรณยิ่ง อัยการจังหวัดนาทวี ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด

3 นายมาโนช รัมมะสินธุ์ รองอัยการจังหวัดนาทวี ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด

4 นายนันทวุธ อุตสาหตัน รองอัยการจังหวัดสมุทรสาคร ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด

5 นายทรงวุฒิ โชติมา อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม

6 นางสาวรัตนา พละชัย แรงงานจังหวัดสมุทรสาคร ไปปฏิบัติราชการในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน

7 พล.ต.ท. วีรพงษ์ ชื่นภักดี ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

8 พล.ต.ต. สรไกร พูลเพิ่ม ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

9 พล.ต.ต. กฤษกร พลีธัญญวงศ์ ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

10 พล.ต.ต. วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

11 พ.ต.อ. อรรถวิทย์ สายสืบ ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

12 พ.ต.อ. ภาสกร กลั่นหวาน ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

13 พ.ต.อ. กิตติพงศ์ วิเศษสงวน ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

14 พ.ต.อ. สถิตย์ สังข์ประไพ ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

15 พ.ต.อ. ธรากร เลิศพรเจริญ ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

16 พ.ต.อ. อัมรินทร์ อัมพรมหา ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

17 พ.ต.อ. กิตติภณ แก้วอัมพร ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

18 พ.ต.อ. ทิฆัมพร ศรีสังข์ ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

19 พ.ต.อ. อโนทัย แสงเฟือง ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

20 พ.ต.ท. ศาสตร์ศักดิ์ ชัยประเสริฐ ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

21 พ.ต.ท. ศุภภัทร สวัสดี ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

22 พ.ต.ต. ทิพากร แก้วเปล่ง ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

23 พ.ต.ต. นันทพล ทองน่วม ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำหรับลำดับที่ 11 ถึง 23 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการในศูนย์ปฏิบัติการ ในกองบัญชาการตำรวจแห่งใดแห่งหนึ่งตามที่เห็นสมควรเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบตามข้อ2 ก็ได้

นอกจากนี้ให้ผู้บังคับบัญชาของส่วนราชการเจ้าสังกัด มอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบแก่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องและให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติแจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุแห่งการตรวจสอบการปฏิบัติราชการของผู้นั้นให้หน่วยงานทราบ เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยต้องปรากฏผลให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้นั้นหรือเพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป ในกรณีที่ไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้รายงานอัยการสูงสุดหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแล้วแต่กรณี เพื่อขยายเวลาได้ตามความจำเป็นในกรณีที่ผลการตรวจสอบพบว่าผู้ถูกตรวจสอบมีความผิดตามที่ได้รับแจ้ง หรือมีความผิดประการอื่นที่เชื่อมโยงไปถึง ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยและกฎหมายต่อไป ในกรณีที่ไม่พบว่ามีการกระทำความผิดหรือไม่ถึงขั้นต้องดำเนินการทางวินัย ให้เยียวยาแก่ผู้ถูกตรวจสอบโดยให้ไปดำรงตำแหน่งในระดับเดิมตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่นอกพื้นที่เดิมก่อนเข้าสู่กระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายในคราวต่อไป เมื่อดำเนินการใด ๆ ตามวรรคนี้แล้ว ให้แจ้งศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเพื่อรวบรวมไว้เป็นข้อมูลด้วย

รวมทั้งให้ผู้บังคับบัญชาในทุกหน่วยงานของรัฐ สอดส่องพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดในด้านประสิทธิภาพ สมรรถนะในการปฏิบัติราชการ การอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ ในกรณีเห็นว่าควรปรับปรุงแก้ไข ให้ตักเตือน แนะนำ ย้ายออกนอกพื้นที่ สับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือหากมีมูลความผิด ให้ดำเนินการทางวินัย โดยคำนึงถึงการให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ผู้นั้น การดูแลรักษาวินัยและกฎหมายตามอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาและการรักษาประโยชน์สาธารณะ ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาละเว้นหรือบกพร่องในการปฏิบัติตามข้อนี้ ให้ผู้บังคับบัญชาเหนือชั้นขึ้นไปรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ

โดยคำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ