นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)กล่าวว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมปรับสัดส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกัน(Loan to Value: LTV)ในการกู้ยืมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ใหต่ำลง จะส่งผลกระทบต่อธนาคารผู้ให้สินเชื่อและผู้ขอสินเชื่ออย่างแน่นอน
การปรับลด LTV จะทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้น้อยลง ดังนั้น จึงอาจจะทำให้มีการตกแต่งบัญชีมากขึ้น เช่น จากการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเต็มที่ อาจจะโยกบางส่วนมาเป็นสินเชื่อเพื่อการตกแต่งซ่อมแซมบ้าน ในขณะที่ผู้ขอสินเชื่อจะได้วงเงินสินเชื่อที่น้อยลง ผู้มีเงินดาวน์บ้านน้อย อาจจะต้องไปกู้เงินนอกระบบมาสมทบเป็นเงินดาวน์ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มี Morgage Insurance มารองรับ
"หากจะมีกฎนี้ออกมารัฐจะต้องมีบริษัทประกันมารองรับด้วย เพราะคนกู้เงิน ก็ไม่มีเงินออมมาดาวน์บ้าน ก็ต้องไปกู้นอกระบบ ส่วนแบงก์ก็กระทบการปล่อยสินเชื่อ ก็อาจจะมีวิธีงุบงิบตกแต่งบัญชีได้" นายขรรค์ กล่าว
ทั้งนี้ เห็นว่าการนำ LTV มาใช้ ควรต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป เช่น กรณีของ ธอส.ส่วนใหญ่จะเป็นการปล่อยสินเชื่อสวัสดิการถึง 70%ของพอร์ตสินเชื่อ ซึ่งจะหักเงินค่างวดชำระหนี้เงินกู้จากบัญชีเงินเดือนอยู่แล้ว จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าลูกค้าที่ชำระค่างวดทั่วไป
นายขรรค์ กล่าวยืนยันว่า ขณะนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่ เห็นได้ว่าราคาบ้านไม่ได้ปรับสูงขึ้น และยังไม่พบการเก็งกำไรมากจนผิดปกติ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ก็มีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ มีระบบการตรวจสอบลูกค้าได้ในระบบเครดิตบูโรอยู่แล้ว
สำหรับผลการดำเนินงานของ ธอส. ไตรมาส 3/53 สิ้นสุด ก.ย.53 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 4,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สามารถปล่อยสินเชื่อแล้ว 113,354 บัญชี เป็นเงิน 71,281 ล้านบาท และมียอดสินเชื่อคงค้าง 658,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.23% มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ไม่รวมส่วนที่ขาด(หนี้ที่ยึดทรัพย์แล้วขายขาดทุน) จำนวน 54,134 ล้านบาท คิดเป็น 8.52% สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPA) 5,791 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 53 คาดว่าธนาคารจะมีกำไรสุทธิ ไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน และตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อปีนี้อยู่ที่ 90,000 ล้านบาท