TMB Analytics ระบุตั้งรัฐบาลใหม่ช้ายังไม่เห็นแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นปีนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 21, 2014 16:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี(TMB Analytics) ระบุว่า เดิมทีศูนย์วิจัยหลายแห่ง รวมทั้งศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีเองได้ประเมินไว้ว่าอาจได้เห็นดอกเบี้ยนโยบายกลับมาเป็นขาขึ้นในช่วยปลายปี(ปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.50-3.00 ตามการสำรวจของบลูมเบิร์กเมื่อ พ.ย.ปีก่อน) แต่ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่อาจไม่ได้เห็นจนกระทั่งไตรมาสสี่ รวมถึงธุรกิจขนาดเล็กที่ยังต้องการการประคับประคอง ทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยยังกลับมาเป็นขาขึ้นไม่ได้ ด้วย กนง. น่าจะตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินไปอีกระยะหนึ่งภายหลังการเมืองมีสัญญาณคลี่คลาย คล้ายการดำเนินงานของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่เลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำ แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่องก็ตาม

ดังนั้น มีความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะเลือกลดดอกเบี้ยอีกภายในปีนี้เพื่อช่วยพยุงธุรกิจ หากทิศทางเศรษฐกิจชะลอลงเพิ่มเติม หลังจากที่ได้มีมติเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่ผ่านมาให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.00 ในปัจจุบัน

ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่า กนง.ยังไม่น่าจะตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในการประชุมครั้งนี้(23 เม.ย.)เหตุผลเพราะว่าแม้การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระทางการเงิน แต่ปัญหาจากของเศรษฐกิจไทยในตอนนี้นั้นไม่ใช่ต้นทุน แต่อยู่ที่รายได้จากการที่ผู้ประกอบการไม่สามารถขายของได้เหมือนเก่า และกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ยังอ่อนแรง เห็นได้จากปัญหาการจ่ายเงินจำนำข้าวให้ชาวนา ซึ่งเป็นผลกระทบทางตรงของปัญหาการเมือง หรือความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของผู้บริโภคซึ่งเป็นผลทางอ้อม ซ้ำเติมปัญหารายได้เกษตรกรที่ถูกกดดันโดยราคาสินค้าเกษตรอยู่แล้ว

ตัวเลขการขยายตัวของยอดสินเชื่อในไตรมาสแรกของปีนี้ ที่ธนาคารพาณิชย์ทยอยแถลงออกมา ก็ล้วนมีแนวโน้มทรงตัวจากไตรมาสก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินเชื่อใหม่ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ สอดคล้องกับการชะลอการลงทุนของภาคธุรกิจซึ่งรอดูท่าทีของทิศทางการเมืองในประเทศ และบางส่วนก็มีการคาดการณ์ว่า หากมีรัฐบาลใหม่แล้วจะต้องมีการประกาศมาตรการทางการคลังเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ธุรกิจส่วนนี้ยังรอให้ถึงช่วงเวลาดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปี 58 จะมีหลายปัจจัยที่กดดันให้นโยบายการเงินของไทยเข้าสู่ภาวะปกติ (Normalization) จากที่ผ่อนคลายมาเป็นระยะเวลาพอสมควรในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้นตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลก โมเมนตัมของการขยายตัวในประเทศกลุ่มพัฒนาแล้วที่จะแข็งแกร่งขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ซับไพรม์ ส่งผลให้สภาวะสภาพคล่องทั่วโลกกลับสู่แนวโน้มตึงตัว ในสถานการณ์เช่นนี้ หาก กนง.ยังมีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอยู่ นอกจากจะสร้างความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศอาจทะลุกรอบนโยบายแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่เงินทุนข้ามชาติจะไหลออกจากไทย กระทบเสถียรภาพในตลาดการเงิน สร้างผลลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของไทยอีกต่อหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ