ส่งผลให้ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย.) ได้อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในไทยแล้ว 385 ราย เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีเงินลงทุน 61,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 245% เพราะธุรกิจที่ได้รับอนุญาตเป็นธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจบริการทางการเงิน เช่น บัตรเครดิต ให้สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง
สำหรับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตในเดือนพ.ย. ได้แก่ ธุรกิจบริการให้แก่บริษัทในเครือ/ในกลุ่มและบริษัทคู่ค้า จำนวน 14 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 1,043 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบริการให้กู้ยืมเงินให้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน บริการทางบัญชี ให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการผลิต เป็นต้น โดยมาจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสวีเดน นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจสำนักงานผู้แทน 11 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 34 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการรายงานความเคลื่อนไหวทางธุรกิจเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจ การผลิต การตลาด การลงทุน ตลอดจนความต้องการใช้สินค้าและบริการต่างๆ ให้สำนักงานใหญ่ทราบ ซึ่งมาจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ สหราชอาณาจักร ไต้หวัน และจีน
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้อนุญาตธุรกิจค้าส่ง 3 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 39 ล้านบาท เช่น การค้าส่งถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดประกอบวาล์วให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมประกอบยานยนต์ เป็นคนต่างด้าวจากประเทศฮ่องกง ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น และยังอนุญาตธุรกิจค้าปลีก 1 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 7 ล้านบาท ได้แก่ การค้าปลีกเครื่องจักรที่ใช้ในการบรรจุหีบห่อผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเป็นคนต่างด้าวจากสิงคโปร์
ขณะเดียวกัน ยังมีธุรกิจนายหน้าตัวแทน 1 ราย มีเงินลงทุน 3 ล้านบาท ได้แก่ การทำกิจการนายหน้าจัดหาตลาดเพื่อการจำหน่ายสินค้าให้แก่บริษัทในเครือ โดยมาจากนอร์เวย์ รวมถึงการอนุญาตประกอบการธุรกิจคู่สัญญาภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ 1 ราย มีเงินลงทุนจำนวน 249 ล้านบาท ได้แก่ บริการทางวิศวกรรมในการออกแบบโครงสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมัน ก่อสร้างและติดตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันให้แก่ บมจ. ปตท.สผ. ซึ่งมาจากญี่ปุ่น