ทั้งนี้ ได้กำชับให้ร.ฟ.ท.เตรียมความพร้อมรองรับในการให้บริการระบบรถไฟทางคู่ขนาดราง 1 เมตร และรถไฟทางคู่ขนาดรางมาตรฐาน 1.435 เมตร ทั้งการเดินรถ การเตรียมพร้อมด้านบุคลากร และการรองรับเทคโนโลยี การซ่อมบำรุง และระบบโลจิสติกส์ต่างๆ ด้วย
สำหรับในหลักการเพิ่มรายได้นั้น เมื่อมีหัวรถจักร รถสินค้า และรถโดยสารเพิ่ม จะสามารถเพิ่มความถี่ในการให้บริการได้ โดยเฉพาะรถสินค้าที่จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการเพิ่มรายได้ ซึ่งจะมีการทำการตลาดเพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งโดยรถไฟให้บริการเอง ร่วมทุนกับเอกชนในการเช่ารถจักร และจัดตั้งสถานีขนถ่ายสินค้า Hub & Spoke ที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด ส่วนการลดค่าใช้จ่ายนั้น จะมีการยุบรวมขบวนรถที่มีผู้โดยสารน้อยเพื่อลดต้นทุน แต่จะต้องไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร
ส่วนแผนการเพิ่มบุคลากรให้เหมาะสม เพื่อรองรับการให้บริการในอนาคตที่มีระบบเทคโนโลยีใหม่ๆ บางส่วนต้องปรับเปลี่ยนหรือโอนงานภายใน เพื่อให้สอดคล้องกับเทคนิคและงานด้านวิศวกรรมที่เปลี่ยนไป ซึ่งคาดว่าจะต้องเพิ่มบุคลากรอีกประมาณ 2,000-4,000 คนและมีการจ้างแรงงานภายนอกในงานบางส่วนอีกด้วย ซึ่งให้ร.ฟ.ท.ทำแผนรายละเอียดเรื่องการเพิ่มอัตรากำลัง เสนอมายังกระทรวงคมนาคม เพื่อจะนำเสนอคณะรัฐมนนตรี (ครม.) ขออนุมัติหลักการใหม่ จากเดิมที่ครม.มีมติเมื่อวันที่ 28 ก.ค.41 ให้รับพนักงานใหม่แทนพนักงานที่เกษียณอายุราชการ ทำได้ไม่เกิน 5% ทำให้ขาดแคลนพนักงาน โดยคาดว่าแผนเรื่องบุคลากรนี้จะชัดเจนในกลางเดือนม.ค.58
สำหรับความคืบหน้าการก่อสร้างก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26.3 กม.นั้น พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขแบบสัญญา 1 (งานก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อ) วงเงิน 2.98 หมื่นล้านบาท และสัญญาที่ 2 วงเงิน 2.12 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะนำเสนอครม.ได้ในเดือนม.ค.58 ส่วนสัญญาที่ 3 (ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมตู้รถไฟฟ้าบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน) มูลค่า 2.9 หมื่นล้านบาท ยังอยู่ในระหว่างเจรจาเงื่อนไขด้านราคาซึ่งน่าจะได้ข้อยุติเร็วๆนี้
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ในภาพรวมการก่อสร้างโครงการดังกล่าวคืบหน้าประมาณ 20% ล่าช้ากว่าแผนเดิมประมาณ 1 ปี โดย สัญญา 1 ล่าช้าประมาณ 15% สัญญา 2 ล่าช้าประมาณ 40% โดยจะต้องปรับแผนก่อสร้างใหม่หลังครม.อนุมัติการปรับแบบ ส่วนการเปิดเดินรถจะพยายามเร่งรัดให้เปิดได้ในปี 2561 จากแผนเดิมที่จะเปิดเดินรถปี 2560