CIMBT ชี้ศก.ไทยปี 58 ยังโตช้า จับตาความเสี่ยงจากค่าเงิน-รัสเซีย-น้ำมัน

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 18, 2014 12:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยกำลังจะเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในปี 2558 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตลาดเงิน และตลาดทุน โดยครั้งนี้จะเป็นปัจจัยจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ค่าเงิน, รัสเซีย และน้ำมัน ซึ่งไทยจะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ต้องเตรียมพร้อมรับมือให้ดี

โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยปี 2558 จะเติบโตช้า แม้จะมีการลงทุนภาครัฐเป็นพระเอกแต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และไทยเผชิญปัญหาการบริโภคและหนี้ครัวเรือน ซึ่งสำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยได้ปรับประมาณการ GDP ปี 2558 มาอยู่ที่ 3.3% จากเดิมที่มองไว้ 4.5%

ทั้งนี้ ประเมินว่าปีหน้ามีความเสี่ยงว่าสงครามค่าเงินกำลังจะประทุในภูมิภาคอาเซียน และไทยเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อสงครามค่าเงิน สืบเนื่องจากไทยเผชิญปัญหาการส่งออกหดตัว โดยมีปัจจัยหลักจากปัญหาโครงสร้างที่พึ่งพาสินค้าเทคโนโลยีต่ำและสินค้าเกษตรที่ตลาดโลกเปลี่ยนความต้องการ และในระยะสั้น การส่งออกดูจะมีปัญหาหนักอีกชั้น หลังจากที่ค่าเงินในภูมิภาคอ่อนค่าแรง แต่เงินบาทกลับอยู่นิ่งๆ ส่งผลให้ค่าเงินบาทไม่ได้ช่วยให้ภาคการส่งออกเกิดความสามารถในการแข่งขัน

ก่อนหน้านี้ เงินเยนอ่อนค่าแรงจนส่งผลให้ประเทศที่ส่งออกสินค้าคล้ายกับญี่ปุ่นเสียความสามารถในการส่งออก จึงต้องปล่อยให้เงินอ่อนค่า ซึ่งมีเกาหลีใต้, ไต้หวัน, สิงคโปร์ ต่อมาราคาน้ำมันลดลงเร็ว การส่งออกของมาเลเซียและอินโดนีเซียก็ถูกกระทบ ทำให้ค่าเงินของสองประเทศนี้อ่อนค่าลง ขณะที่ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าตามภูมิภาคและกระทบกับการส่งออกจึงกล่าวได้ว่าไทยกำลังตกเป็นเหยื่อสงครามค่าเงิน

ขณะเดียวกัน ไทยก็มีโอกาสจะเป็นผู้จุดชนวนสงครามค่าเงินเสียเอง กรณีที่หากในการประชุมครั้งถัดๆ ไปของกนง.มีการประกาศปรับลดดอกเบี้ย เพื่อลดความน่าสนใจของสินทรัพย์ไทย ลดการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้บาทอ่อนค่าเพื่อช่วยผู้ส่งออกนั้น จะเป็นการประกาศสงครามค่าเงินในภูมิภาค เพราะประเทศอื่นๆ อาจต้องปรับตัวโดยปรับลดดอกเบี้ยลง ทั้งนี้ จึงมองว่าทางธปท.น่าจะใช้วิธีผ่อนปรนมาตรการเงินไหลออกไปต่างประเทศให้มากขึ้นแทน หลังสหรัฐฯ หยุดมาตรการ QE และเตรียมพร้อมขึ้นดอกเบี้ย แต่ญี่ปุ่น ยูโรโซน หรือแม้แต่จีนเตรียมพร้อมในการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นสภาพคล่องในตลาดโลก แม้จะลดลง แต่จะไม่หดตัวแรง

"ค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบๆ มาตลอดช่วงที่สหรัฐฯ ดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ แต่หากสหรัฐมีการขึ้นดอกเบี้ย เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าได้ถึงระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปลายปี 2558 อีกทั้งการที่ญี่ปุ่นผ่อนคลายมาตรการทางการเงินมากขึ้นจะเป็นปัจจัยให้บาทอ่อนค่าได้ แต่กรณีถ้าหากกนง.ปรับลดดอกเบี้ย เพื่อเดินเกมลดความน่าสนใจของสินทรัพย์ไทย ซึ่งเท่ากับว่าเราประกาศสงครามค่าเงินในภูมิภาคนั้น อาจได้เห็นค่าเงินบาทแตะระดับ 36.00 ต่อดอลลาร์สหรัฐฯได้" นายอมรเทพ กล่าว

ปัจจัยถัดมาและเป็นประเด็นใหม่ คือ วิกฤติรัสเซีย โดยเศรษฐกิจรัสเซียมีแนวโน้มจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า หลังจากที่ถูกสหภาพยุโรปใช้มาตรการคว่ำบาตร อีกทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่องทำให้รัฐบาลรัสเซียศูนย์เสียรายได้หลัก ค่าเงินรัสเซียอ่อนค่าไปเกือบครึ่ง จากภาวะเงินไหลออกอันส่งผลให้เกิดวิกฤติค่าเงิน แม้ทางธนาคารกลางรัสเซียจะขึ้นดอกเบี้ยมาถึง 17% แล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี รัสเซียไม่ได้เชื่อมโยงกับตลาดการเงินโลกมากเท่าอีกหลายประเทศ จึงยังไม่น่าห่วงว่าวิกฤติการเงินในรัสเซียจะลามไปฝั่งยุโรป

สำหรับผลกระทบต่อไทยจะมี 3 ด้านหลักๆ คือ ด้านตลาดเงิน การส่งออก และท่องเที่ยว แม้รัสเซียจะไม่ใช่ตลาดพันธบัตรและตลาดส่งออกหลักก็ตาม ไทยส่งออกไปรัสเซียไม่มาก จึงไม่น่าได้รับผลกระทบทางตรง แต่ต้องระวังผลทางอ้อมหากยุโรปซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของรัสเซียชะลอตัวทำให้การส่งออกของไทยไปยุโรปลดลง การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไปรัสเซียอาจได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากปีนี้ แต่สินค้าเกษตรที่เติบโตได้ดียังน่าจะเติบโตได้ในปีหน้า ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียที่ลดลงต่อเนื่องยังคงกดดันตลาดท่องเที่ยวไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวจากรัสเซียที่ลดลงก็จะมีผลต่อตลาดท่องเที่ยวในพัทยาและภูเก็ต

ด้านตลาดเงิน แม้รัสเซียขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปก็ยังไม่ส่งผลให้เงินรูเบิลมีเสถียรภาพได้ ตลาดกำลังกังวลว่าอาจมีการจำกัดการเคลื่อนย้ายของทุน (capital control) ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อผู้ที่ลงทุนในตลาดพันธบัตรในรัสเซีย แต่ไม่น่ารุนแรงพอที่จะกระทบตลาดพันธบัตรยุโรป หนี้ต่างประเทศของรัสเซียแม้มีมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็ยังไม่นับว่าจะสามารถก่อให้เกิดวิกฤติการเงินได้หากมีการผิดนัดชำระหนี้ อีกทั้งไม่ได้กระจุกตัวอยู่ประเทศใดประเทศหนึ่งมากจนมีผลให้เกิด Domino effect ได้

"เศรษฐกิจรัสเซียเกี่ยวพันกับราคาน้ำมันค่อนข้างมาก หากราคาน้ำมันลดลงหรืออยู่ในระดับต่ำอาจส่งผลให้ประเทศขาดรายได้จนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจได้ วิกฤติเศรษฐกิจรัสเซียดูคล้ายวิกฤติปี 1998 ที่เริ่มจากราคาน้ำมันจะลงลงต่ำ ตลาดหุ้นทรุดตัวแรง และเงินอ่อนค่า แต่ประเทศไทยและภูมิภาคน่าจะปลอดภัยจากเงินสำรองที่สูง" นายอมรเทพ กล่าว

พร้อมระบุว่า อีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ คือ ราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่อง ประเทศไทยนำเข้าสุทธิน้ำมันราว 10% ของ GDP และอาศัยแหล่งพลังงานอื่นไม่มากนัก ดังนั้นแม้ราคาน้ำมันจะลดลง แต่ไทยต้องเร่งปรับปรุงโครงสร้างพลังงานต่อไป ในช่วงที่ราคาน้ำมันต่ำ กลุ่มที่ได้ประโยชน์คือ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและขนส่ง อีกทั้งอุตสาหกรรมที่แปรรูปสินค้าเกษตรพวกยางและปาล์มจะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำลง ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบคือ อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูง เช่น การขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรเช่นยาง ปาล์ม อ้อย และข้าวอาจลดลงตามราคาน้ำมันซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ต่ำต่อไป ซึ่งอุตสาหกรรมค้าปลีกในต่างจังหวัดจะได้รับผลกระทบนี้ด้วยเช่นกัน ผลดีอื่นๆจากราคาน้ำมันลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำลง และเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ซึ่งจะสนับสนุนการบริโภคของมนุษย์เงินเดือน

นายอมรเทพ กล่าวว่า ขณะที่ความเสี่ยงในประเทศนั้น เรื่องสำคัญคือความรวดเร็วในการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ หากทำได้ก็จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยได้ แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะแม้มีการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน การลงทุนในปีหน้ายังคงเร่งตัวได้ไม่แรงนัก จากขั้นตอนการเบิกจ่ายงบ และจากสภาพคล่องในตลาดการเงินที่จะเริ่มตึงตัวมากขึ้นตามการเร่งตัวของสินเชื่อเมื่อเศรษฐกิจฟื้น

"การลงทุนภาครัฐจะมาต้นปีหน้า แต่ขอฝาก 2 เรื่อง 1.ขอฝากภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เอกชนให้ได้ว่าจะลงทุนระยะยาวต่อให้มีการเปลี่ยนรัฐบาลโครงการลงทุนจะดำเนินต่อไป 2.ขอเตือนเอกชนว่าอย่าไปรอภาครัฐอย่างเดียว เพราะถ้าคุณรอ อย่าลืมว่าปีหน้าสภาพคล่องตึงตัว ต้นทุนการเงินจะสูงขึ้น ถ้ามั่นใจน่าจะใช้โอกาสช่วงนี้ลงทุน" นายอมรเทพ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ