"4 ปัจจัยบวก ได้แก่ การค้าชายแดน การเดินทางและท่องเที่ยวช่วงเทศกาล การจัดตั้งโรงงานในพื้นที่อุตสาหกรรม ราคาน้ำมันในประเทศที่ปรับตัวลดลง ส่วนปัจจับลบที่มีผลกระทบต่อ SMEs ในวงกว้าง คือ ราคาสินค้าเกษตร กำลังซื้อผู้บริโภค การส่งออกที่ไม่ฟื้นตัว และการขาดแคลนแรงงานและต้นทุนแรงงานสูงขึ้น ทำให้ภาพรวมความเชื่อมั่นของ SMEs ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 50%" นายเบญจรงค์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังสำรวจมุมมองของผู้ประกอบการต่อภาวะธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 60.2 ซึ่งถือว่าทรงตัวจากระดับ 59.6 จากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สะท้อนว่าผู้ประกอบการยังมีความหวังในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจในระยะเวลา 3 เดือนข้างหน้า แม้ความเชื่อมั่นในอนาคตไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจาดไตรมาสก่อนหน้าแต่อย่างใด แสดงถึงปัจจัยและการคาดการณ์ทางธุรกิจที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา
อีกทั้งภาพรวมของภาคธุรกิจ SMEs ในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ไม่แข็งแรง การดำเนินธุรกิจยังคงมีความยากลำบาก เนื่องจากเศซษฐกิจโลกยังคอซบเซา กระทบธุรกิจ SMEs ที่มีความเกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกไปในจีนและยุโรปยังต้องเผชิญความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างมากในปีนี้ ประกอบกับเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวช้า การบริโภคภาคครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัวกลับมาดี แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะมีราคาลดลง แต่ส่งผลที่ดีต่อธุรกิจขนาดใหญ่มากกว่าธุรก้จ SMEs เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่สามารถซื้อน้ำมันได้จากผู้ผลิตได้เลย ทำให้มีต้นทุนที่ถูกกว่าซื้อน้ำมันจากหัวจ่าย