ซึ่งภายในวันนี้ บพ.จะส่งอีเมล์ไปถึง JCAB เพื่อตอบรับ และ Mr.Akihiko Tamura ผู้อำนวยการ JCAB จะเดินทางมาลงนามใน MOU ร่วมกับนายสมชาย พิพุธวัฒน์ อธิบดีกรมการบินพลเรือน ในวันพรุ่งนี้(2 เม.ย.) ช่วงบ่ายที่กรมการบินพลเรือน
ทั้งนี้ JCAB ได้กำหนดรายละเอียดใน MOU เน้นการปลดล็อคข้อบกพร่องที่มีนัยต่อความปลอดภัย(SSC) ในระยะสั้น ส่วนสายการบินที่ได้ขอทำการบินในช่วง 1เม.ย.-31 พ.ค.58 รวม 60 วันนั้นจะต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขใน MOU คือจะอนุญาตให้สายการบินของไทยทำการบินได้ก็ต่อเมื่อเป็นเครื่องบินของสายการบินประเทศไทยที่เป็นเที่ยวบินประจำ และเช่าเหมาลำที่บินในเส้นทางไป-กลับประเทศญี่ปุ่นไม่เกี่ยวกับประเทศอื่น โดยเช่าเหมาลำจะให้เฉพาะที่เคยให้บริการอยู่เดิม และต้องทำการบินในเส้นทางที่เคยให้บริการเดิม, ทำการบินด้วยอากาศยานที่เคยให้บริการเดิม
"ปกติเมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินญี่ปุ่น จะมีการสุ่มตรวจอยู่แล้ว แต่สายการบินสัญชาติไทยจะถูกตรวจถี่มากขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นประเทศใดที่ต้องการสุ่มตรวจสายการบินของประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษ ไม่มีปัญหา" รมว.คมนาคม กล่าว
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า การแก้ไขผลกระทบตามโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล(USOAP) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ICAO) ซึ่งพบประเด็นสำคัญ 2 ประเด็น คือ การออกใบรับรองอนุญาต(AOC) ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และอำนาจในการอนุญาตให้มีการขนส่งสินค้าอันตรายยังไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในกรณีของการบินบนพื้นน้ำและกรณีที่เกิดสภาพอากาศนั้นจะดำเนินการอย่างเต็มที่และสรุปแผนแก้ไขฉบับใหม่รายงานต่อ ICAO ในวันที่ 6 เม.ย.นี้ และหวังว่าทาง ICAO จะสบายใจมากขึ้น
พร้อมเชื่อมั่นต่อกรณีที่ไทยจะใช้มาตรการพิเศษ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มาตรา 44 มาช่วยเร่งรัดกระบวนการทั้งการจัดตั้งองค์กร การปรับโครงสร้าง การแก้ไขบทบาทหน้าที่ บพ.เพื่อปลดล็อค SSC โดยเร็ว
ทั้งนี้ บพ.จะเดินทางไปเกาหลีใต้ในวันพรุ่งนี้(2 เม.ย.) จากนั้นจะไปจีน ออสเตรเลีย และเยอรมนี เพื่อทำความเข้าใจก่อนที่ประเทศเหล่านี้จะมีปฎิกิริยาที่ส่งผลกระทบเหมือนกรณี JCAB และให้สถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งขณะนี้ทั้งเกาหลีใต้ และจีน ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ส่วนกรณีที่จีนไม่ให้เพิ่มเช่าเหมาลำของไทยนั้น เป็นเรื่องที่จีนมีเที่ยวบินมากในช่วงเม.ย. และไม่ให้เพิ่มกับสายการบินหลายประเทศไม่ใช่สายการบินของไทยอย่างเดียว
ด้านนายวรเดช หาญประเสริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า การแก้ไขปัญหากรณีสินค้าอันตรายนั้นได้ออกกฎข้อบังคับ กบร.เพื่อให้การกำกับดูแลที่สอดคล้องกับมาตรฐาน ICAO ซึ่งไม่น่ามีปัญหา ส่วนการออกใบรับรองอนุญาต (AOC) นั้นมีหลายขั้นตอน โดยกฎเกณฑ์ในการตรวจสอบเบื้องต้นมี 60-70 เรื่องที่เกี่ยวข้อง จะคัดในส่วนที่เกี่ยวกับ SSC ออกมา ซึ่งมีทั้งประกาศกฎกระทรวงและ กฎ กบร.ซึ่งจะทราบรายละเอียดในวันที่ 3 เม.ย.และจะเสนอขอแก้ไขต่อไป โดยจะพิจารณาว่าจะเสนอตามขั้นตอนปกติ หรือเข้ามาตรา 44
ทั้งนี้ บพ.ได้ทำแผนจ้างบุคลากร 13 คน วงเงิน 23 ล้านบาทเสร็จแล้ว จะเสนอรมว.คมนาคมเห็นชอบ โดยค่าจ้างมีตั้งแต่ 1 แสน -3 แสนบาทต่อคน ส่วนการอบรมจะต้องเสนอขอเพิ่มงบประมาณอีก 20 ล้านบาท จากเดิมที่มี 5-6 ล้านบาทเท่านั้น กรณีการปรับปรุงระบบเป็นดาต้าเบส วงเงิน 80 ล้านบาท ได้เลือกระบบแล้วโดยจะว่าจ้างทำระบบและเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 3 เดือนหรือใน 15 มิ.ย.58 ตามที่ ICAO ต้องการ ซึ่งจะต้องทบทวนข้อมูลของสายการบิน 64 สายการบินให้เสร็จใน 1 เดือน ซึ่งมี 28 สายการบินที่ทำการบินระหว่างประเทศ โดยทำกระบวนการเสร็จ จะเชิญ ICAO มาตรวจแผนปรับปรุงอีกครั้ง ถ้าสมบูรณ์จะปลด SSC ถ้าไม่สมบูรณ์และ ICAO ไม่ปลดล็อคจะเกิดปัญหาแน่นอนเพราะจะกระทบไปถึงสายการบินประจำด้วย ส่วนการปรับโครงสร้าง บพ.นั้นจะต้องดำเนินการให้เสร็จใน 8 เดือน