คลังเผย JCR ปรับสถานะมุมมองความน่าเชื่อถือประเทศไทยเป็นมีเสถียรภาพ

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 7, 2015 14:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. (JCR) เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ว่า JCR ได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ(Foreign Currency Long-Term Issuer Rating) และสกุลเงินบาท(Local Currency Long-Term Issuer Rating) ที่ระดับ A- และ A ตามลำดับ และปรับสถานะมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากลบ(Negative Outlook) เป็นมีเสถียรภาพ

โดยเหตุผลในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวมาจาก 1.พัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมการส่งออกของประเทศ รวมถึงเสถียรภาพของระบบธนาคาร การรักษาสถานะภาคการคลังให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยเปรียบเทียบและดุลภาคต่างประเทศที่เข้มแข็ง ขณะที่มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป อาทิ จำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลง และการเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง อันเนื่องมาจากอุปทานด้านแรงงานที่ตึงตัวและการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงาน ทั้งนี้การที่รัฐบาลปัจจุบันที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการเมื่อเดือน ก.ย.57 ได้ดำเนินการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ เพื่อเตรียมส่งต่ออำนาจให้รัฐบาลพลเรือน JCR จะจับตามองพัฒนาการของการปฏิรูปทางการเมืองในอนาคตและการเลือกตั้งทั่วไปที่คาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงต้นปี 59 รวมถึงจับตามองว่า รัฐบาลจะสามารถจัดการกับปัญหาโครงสร้างประชากรและหลีกเลี่ยงจากการเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางอย่างไรภายใต้ความยากลำบากด้านสถานการณ์ทางการเมือง

2.เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวขึ้นในระดับหนึ่งตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 57 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลปัจจุบัน และจากการที่ประเทศไทยได้ถูกรวมอยู่ในเครือข่ายการผลิตและการกระจายสินค้าของอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในเอเชียตะวันออก(อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์) อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 24.8 ล้านคน เมื่อปี 57 อย่างไรก็ดี ในปี 58 ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงเกินกว่าร้อยละ 80 ของ GDP อาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน นอกจากนี้ ภาคส่งออกดูเหมือนจะฟื้นตัวได้ไม่ดีนักเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศจีนและสหภาพยุโรปไม่เอื้ออำนวย ดังนั้น JCR คาดว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างจำกัด ขณะที่ต้องจับตามองการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกประเทศจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในอนาคต

3.การเกินดุลการค้าของประเทศขยายตัวมากขึ้นในปี 57 เนื่องจากการนำเข้าที่ลดลงอันเนื่องมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ซึ่งชดเชยกับการขาดดุลบัญชีรายได้ เป็นผลให้บัญชีเดินสะพัดเกินดุล อย่างไรก็ดี JCR คาดว่า การเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะไม่มากนักเพราะการนำเข้าจะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และแม้ว่าการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะลดลงในปี 57 จากผลกระทบของวิกฤตทางการเมือง แต่ยังคงอยู่ในระดับสูงโดยเปรียบเทียบที่ 11.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในทางกลับกัน การไหลออกสุทธิของเงินทุนระหว่างประเทศเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์ได้เพิ่มสูงขึ้นในปี 57 ส่งผลให้ดุลการชำระเงินขาดดุล 2 ปีติดต่อกัน และยังส่งผลให้ระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ไม่รวมทองคำมีมูลค่าลดลงมาอยู่ที่ 151.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากที่เคยอยู่ในระดับสูงสุดที่ 173.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นปี 55 โดย ณ สิ้นปี 57 สัดส่วนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ระยะสั้นยังอยู่ในระดับมั่นคงที่ 2.6 เท่า

4.ฐานะทางการคลังของประเทศไทยยังคงแข็งแกร่งจากการที่รัฐบาลปฏิบัติตามกรอบวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด โดยคาดว่า ในปีงบประมาณ 58 จะขาดดุลงบประมาณที่ร้อยละ 2 ของ GDP ถึงแม้ว่าหนี้สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือน ก.ย.57 ยังคงอยู่ในระดับต่ำโดยเปรียบเทียบที่ร้อยละ 47.2 และแม้ว่ารัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้วางแผนจะลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่นอกกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีในวงเงิน 2 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี รัฐบาลปัจจุบันได้ทบทวนโครงการและมีแผนจะดำเนินโครงการต่อใน 5 สาขา ให้แล้วเสร็จ โดยจะใช้เงินจากการกู้ยืมของรัฐบาล รายได้และ/หรือเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ และการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน

5.ภาคการธนาคารของประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพตลอดช่วงที่เกิดความไม่สงบทางการเมือง โดยในปี 57 สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารพาณิชย์โดยรวมยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 2.2 จากเดิมที่อยู่ที่ร้อยละ 2.3 เมื่อปี 55 และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงยังอยู่ในระดับสูงโดยเปรียบเทียบที่ร้อยละ 16.7 (เงินกองทุนชั้นที่ 1 มีสัดส่วนร้อยละ 13.7) ณ สิ้นปี 57


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ