"ดุลการค้าและดุลบริการไทยดีขึ้น มีเงินทุนไหลเข้ามา ทำให้ดุลการชำระเงินเป็นบวกอยู่ที่ 3,000 ล้านเหรียญฯ ทำให้ฐานะต่างประเทศเรายังดีอยู่ แต่แม้ว่าเราจะมีเกินดุลบัญชีเดินสะพัด อาจจะทำใหบาทแข็งขึ้น แต่เชื่อว่า ธปท.จะดูแลไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาค SMEs" นายอาคม กล่าว
ขณะที่ภาคการส่งออกที่เคยเป็นรายได้หลักของประเทศ ซึ่งในอดีตทำรายได้ในสัดส่วน 70% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ(GDP) ยังอยู่ในสภาวะอ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ สศช.ยังประเมินว่าการส่งออกทั้งปีจะขยายตัวได้ราว 3.5% ส่วนจะเห็นสัญญาณบวกเมื่อใดนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับการส่งออกสินค้าเกษตรว่าจะฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงตลาดหลักอย่างสหรัฐและยุโรปดีขึ้นกว่าเดิมหรือไม่
"แม้ส่งออกยังไม่ฟื้นตัว แต่ได้รับการชดเชยจากการท่องเที่ยว รวมถึงเราสามารถประหยัดเงินค่าน้ำมัน ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจสามารถโตได้ต่อเนื่อง รวมไปถึงรายได้การจัดเก็บภาษีภาครัฐเพิ่มจากปีที่แล้ว แม้ว่าจะต่ำกว่าประมาณการก็ตาม โดย 5 เดือนแรกอยู่ที่ 0.9% แต่ถ้านับ ม.ค.-ก.พ.อยู่ที่ 1.1% เทียบกับช่วงเดียวกัน โดยมาจากรายได้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม อยู่ที่ 0.5% จะส่งผลดีให้การบริโภคในประเทศมากขึ้น ส่วนการประเมิน GDP ยังคงเป้าเดิม" นายอาคม กล่าว
ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจเดือน มี.ค.58 ดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ม.ค.-ก.พ.ที่เห็นสัญญาณดีทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณ การบริโภค การลงทุนภาครัฐและเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยว โดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐที่รัฐบาลได้อนุมัติงบกรมทางถนนหลวงและทางหลวงชนบทเพิ่ม 4 หมื่นล้านบาท จะเริ่มเซ็นสัญญาช่วงเดือนเม.ย. และก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน 1 ปี
สำหรับการลงทุนภาคเอกชน จากมาตรการการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)จะเริ่มมีการก่อสร้างโรงงานเพิ่มมากขึ้น ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการก่อสร้างศูนย์การค้าขนาดเล็กตามชานเมือง และก่อสร้างที่อยู่อาศัยในต่างจังหวัด โดยเฉพาะตามแนวชายแดนมากขึ้น รวมไปถึงมีการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
ส่วนการบริโภคและการใช้จ่ายไตรมาสแรก สศช.ประเมินตัวเลขการเติบโตที่ 1-2% ถือว่าไม่สูงนัก เนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรประสบปัญหาภัยแล้งเมื่อปีที่ผ่านมา และประสบปัญหาสินค้าประมงบางตัวไม่สามารถส่งออกได้ แต่รัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขให้สามารถส่งออกกุ้งแช่แข็งไปยังตลาดญี่ปุ่นแล้ว
นายอาคม เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลังกระทรวงคมนาคมจะเร่งนัดการประมูลรถไฟทางคู่ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 รวมทั้งปรับปรุงสนามบินอู่ตะเภาให้รองรับสายการบินเชิงพาณิชย์ได้มากขึ้น นอกจากนี้ จะเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องสายการบินเช่าเหมาลำที่เริ่มมีข้อจำกัดในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น โดยในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.จะมีมาตราการเร่งด่วนออกมาเพื่อไม่ให้กระทบภาคท่องเที่ยว
ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมครม.เศรษฐกิจว่า จากการรายงานภาพรวมเศรษฐกิจพบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งการลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยว แม้ว่าการส่งออกจะยังไม่ฟื้นตัว
"ภาพรวมในอดีต ในสภาวะที่การส่งออกชะลอตัว เศรษฐกิจจะหนืด แต่ตัวอื่นช่วยได้เยอะทำให้เป็นบวก ซึ่งภาพรวมดีกว่าไตรมาสที่แล้วเสียอีก เพราะมีมาช่วยหลายตัว"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ขณะที่การส่งออกนั้น หลังจากจีนลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทยได้มากขึ้น ส่วนการส่งออกไปยังยุโรป ก็มีแนวโน้มที่ดี ขณะที่การลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มดีขึ้นเช่นกัน โดยมาจากมาตราการกระตุ้นเศรษกิจด้วยงบประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาทที่ขณะนี้งบเบิกจ่ายไปแล้ว 1.5 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งยืนยันว่าประเทศไทยในขณะนี้ไม่ได้อยู่ในสภาวะเงินฝืด แต่เป็นการลดลงของต้นทุนตามทิศทางราคาน้ำมัน