ส่วนผู้บริหารสูงสุดระดับผู้อำนวยการหรือหัวหน้าสำนักฯ จะมาจากการสรรหา รูปแบบเหมือนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยใช้กฎหมายพิเศษขึ้นรองรับ ซึ่งอาจจะเป็นข้าราชการหรือกรณีเป็นพนักงานราชการพิเศษที่ต้องมีความชำนาญ อาจจะมีค่าจ้างสูงกว่า ส่วนระดับรอง จะมาจากรองอธิบดีกรมการบินพลเรือน โดยในระยะแรกจะออกเป็นบทเฉพาะกาลเพื่อให้เริ่มทำงานได้ก่อน ระหว่างการสรรหาผู้บริหารสูงสุด โดย สำนักงานฯจะมีบุคลากรประมาณ 300 คน
ส่วนงานปฏิบัติ (Operator) จะตั้งเป็นกรมการขนส่งทางอากาศ หรือ กรมท่าอากาศยาน อยู่ระหว่างการพิจารณาชื่อที่เหมาะสมและรูปแบบระหว่างเป็นหน่วยราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ โดยจะเป็นผู้ให้บริการสนามบิน 28 แห่ง หลักจะใช้บุคลากรจากบพ.เดิมซึ่งจะมีประมาณ 1,000 คน ซึ่งอยู่ระหว่าง บพ.เสนอรูปแบบเพื่อเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ระหว่างคงเป็นหน่วยงานราชการเหมือนเดิมหรือเป็นรัฐวิสาหกิจ
นายวรเดช กล่าวว่า ในวันนี้ (21 เม.ย.) จะรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่อง (Corrective Action Plan : CAP) ตามโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight Programme : USOAP) ของ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และการปรับโครงสร้างกรมการบินพลเรือน (บพ.) รวมถึงเร่งรัดดำเนินการออกกฎกบร.และประกาศกรม เพื่อให้สอดคล้องกับกฎ ICAO ,เร่งรัดการปรับแผนการแก้ไขข้อบกพร่อง (Corrective Action Plan : CAP) เพื่อปลดล๊อคข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญ (SSC) ซึ่งจะต้องเสร็จให้ทันก่อนวันที่ 18 มิ.ย. ซึ่งทาง ICAO กำหนดจะประกาศข้อมูลการแก้ไขของบพ.ลงใน Public website
ทั้งนี้จะเร่งส่งแผนการแก้ไขข้อบกพร่อง ให้ ICAO ซึ่งหาก ICAO พอใจแผนปรับปรุงจะปลด SSC ซึ่งจะทำให้แก้ปัญหาที่ประเทศสมาชิกจะห้ามสายการบินเช่าเหมาลำของไทยบินเข้าออกได้ ซึ่งแผนแก้ไขเดิมทำบนพื้นฐานที่บพ.มีคนจำนวน 11 คน แต่ขณะนี้ได้รับคนมาเพิ่มทำให้สามารถปรับลดเวลาในการแก้ไขได้ภายในเดือนมิ.ย.นี้ รวมถึงแก้ไขเรื่องอื่นแบบคู่ขนานไป ทั้งการปรับปรุง กฎระเบียบ การฝึกอบรมใช้มาตรฐาน แนวทางของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป หรือ เอียซ่า (EASA) เป็นตัวกำหนด ซึ่งจะต้องเร่งแจ้ง ICAO ทราบถึงแผนใหม่ที่จะปรับปรุงเสร็จในปี 58