รมว.พาณิชย์ เผยแนวโน้มส่งออกมี.ค.อาจติดลบ เตรียมลดเป้าส่งออกปีนี้เหลือโตกว่า 1%

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 21, 2015 16:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 24 เม.ย.58 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะประกาศปรับลดเป้าหมายการส่งออกสำหรับปี 2558 ใหม่ จากเดิมที่เคยคาดว่าจะขยายตัวได้ 4% นั้น อาจจะปรับลดลงมาเหลือขยายตัวได้มากกว่า 1% เพราะยังเชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้าน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลให้การส่งออกกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ แม้คาดว่าในเดือนมี.ค.นี้มีแนวโน้มอาจติดลบ และทำให้การส่งออกไตรมาสแรกติดลบเช่นกัน

อย่างไรก็ดี มองว่าการส่งออกของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ยังไม่ถือว่าแย่มาก เพราะจากการตรวจสอบประเทศที่ส่งออกสูงสุด 30 อันดับแรกทั่วโลก พบว่าส่วนใหญ่ติดลบทั้งหมด โดยมีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นที่การส่งออกเป็นบวก ได้แก่ จีน, สวิตเซอร์แลนด์ และชิลี ส่วนฮ่องกงเสมอตัว สำหรับปัญหาที่ภาคเอกชนได้เสนอแนะมา กระทรวงฯ จะรวบรวมและประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปแก้ไขต่อไป

สำหรับการประชุมในวันนี้ระหว่างกระทรวพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จะมีการแบ่งกลุ่มสินค้าทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมกว่า 10 กลุ่ม เพื่อทำแผนผลักดันการส่งออกเป็นรายสินค้าและรายตลาด โดยให้ดูว่าจะขยายตลาดเก่าและเจาะตลาดใหม่ๆ ได้อย่างไร ทั้งนี้ให้จัดทำแผนให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน จากนั้นจะเดินหน้าดำเนินงานตามแผนทันที

"ได้ขอให้อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นัดหารือกับภาคเอกชนทุกกลุ่มที่กำหนดไว้ และให้ทำแผนให้เสร็จภายใน 1 เดือนว่าจะทำอะไรบ้าง สินค้าไหนมีโอกาส เอกชนเสนอให้ทำอะไร และเมื่อได้แผนออกมาแล้ว ผมจะเริ่มปูพรมทำงานพร้อมกันทุกสินค้า ทุกตลาดทันที เริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย.นี้ เพื่อเพิ่มยอดการส่งออก" รมว.พาณิชย์ ระบุ

สำหรับสินค้า 10 กลุ่มที่กำหนดเพื่อทำแผนผลักดันการส่งออก ได้แก่ เกษตรและอาหาร, เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน, ยานยนต์และชิ้นส่วน, สิ่งทอ, อัญมณีและเครื่องประดับ, วัสดุก่อสร้าง, กลุ่มสินค้าสุขภาพ, กลุ่มไลฟ์สไตล์, โลจิสติกส์ และตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม)

ด้านนายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ได้เสนอให้กระทรวงพาณิชย์เพิ่มงบประมาณในโครงการเอสเอ็มอี โปรแอคทีฟ ที่สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีโอกาสในการส่งออก หลังจากที่งบประมาณเดิมได้หมดลงและหยุดโครงการไปแล้ว รวมถึงขอให้ผลักดันโครงการ "โปรดักส์ ออฟ ไทยแลนด์" โดยสนับสนุนให้ติดโลโก้ที่ระบุว่าเป็นสินค้าจากประเทศไทยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเร่งจัดงานแสดงสินค้าระดับอาเซียน โดยจัดงานร่วมกับประเทศอาเซียนอื่นๆ ในปีหน้า เพื่อดึงดูดคนทั่วโลกมาชมและเลือกซื้อสินค้า

นอกจากนี้ ได้ฝากให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า ที่ขณะนี้แข็งค่าขึ้น 1% ขณะที่คู่แข่งอย่างมาเลเซียอ่อนค่าลง 10% สิงคโปร์อ่อนค่า 5-6% อินโดนีเซีย อ่อนค่าลง 5-6% และเวียดนามอ่อนค่า 2% ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้การส่งออกมีปัญหา และยังถือว่าเงินบาทไทยแข็งค่ามากที่สุดในโลก โดยติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศที่เงินแข็งค่า

ส่วนนายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) กล่าวว่า เอกชนประเมินว่าการส่งออกไตรมาสแรกน่าจะติดลบ 4-5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ไตรมาส 2 จะเริ่มทรงตัว และไตรมาส 3 และ 4 จะกลับมาส่งออกได้ดีขึ้น คาดว่าน่าจะขยายตัวเป็นบวกได้ประมาณไตรมาสละ 3% จากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว และจะทำให้การส่งออกทั้งปีโตได้ในระดับ 0% หรือเป็นบวกเล็กน้อย ซึ่งไม่รู้ว่ากระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าใหม่ไว้เท่าไร แต่เอกชนประเมินตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ