อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เงินบาทอ่อนค่ามาอยู่ที่ 32.44/46 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากยังมีแรงซื้อดอลลาร์เข้ามา แต่ทิศทางภาพรวมค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงหลังจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดหลายตัวออกมาไม่ค่อยดี ทั้งยอดขายบ้านใหม่เดือน มี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) รวมทั้งจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานประจำสัปดาห์ที่พุ่งขึ้น
นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.35-32.50 บาท/ดอลลาร์
- ปัจจัยสำคัญ
- เปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 119.49/51 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ 119.90 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินยูโรเช้านี้ อยู่ที่ระดับ 1.0813/0815 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ 1.0750 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 32.4140 บาท/ดอลลาร์
- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักอื่นๆ เมื่อคืนนี้ (23 เม.ย.) จากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐในเดือนมี.ค.ที่ร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่ง
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ รายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ในเดือนมี.ค.ดิ่งลง 11.4% สู่ระดับ 481,000 ยูนิต ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.56 จากระดับ 543,000 ยูนิตในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.51 ซึ่งการที่ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐร่วงลงมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปีครึ่งนี้ บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 54.2 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 55.7 ในเดือนมี.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าอยู่ที่ระดับ 55.5 ภาคการผลิตของสหรัฐมีการขยายตัวต่ำกว่าคาดในเดือนเม.ย. โดยกิจกรรมภาคโรงงานชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.
- กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 18 เม.ย. เพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 295,000 ราย สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 290,000 ราย
- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงปรับตัวขึ้น 51 ดอลลาร์ฮ่องกง เปิดที่ระดับ 11,050 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,196.85 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 5.52 ดอลลาร์ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง
- สำนักงานสถิติแห่งชาติยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า รัฐบาลยูโรโซนมีอัตราส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.2% ในไตรมาส 3 ขณะที่รัฐบาลของ 28 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) มีอัตราส่วนการขาดดุลงบประมาณต่อตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 4 อยู่ที่ 2.6% ลดลงจากระดับ 2.8% ในไตรมาส 3
ทั้งนี้ ตามกฎหมายของยุโรปนั้น รัฐบาลยูโรโซนจะต้องมียอดขาดดุลงบประมาณต่ำกว่า 3% ของจีดีพี และตัวเลขหนี้สาธารณะจะต้องต่ำกว่า 60% ของจีดีพี