ขณะที่ปัจจัยที่กลุ่มตัวอย่างคิดเห็นว่าจะมีผลเชิงบวกต่อราคาทองคำระหว่างเดือนเป็นการอ่อนตัวของค่าเงินบาทหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการปรับลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง 2 ครั้งติดต่อกันส่งผลต่อทิศทางค่าเงินบาทโดยเงินบาทอ่อนตัวขึ้นมาเหนือระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในประเทศ ด้านความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดลงหลังสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มชะลอตัวในไตรมาสแรก
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในระยะสามเดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันโดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.22 จุดมาอยู่ที่ระดับ 56.00 จุดสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนและผู้ค้าทองคำเริ่มมองทองคำฟื้นตัวหลังคลายความวิตกต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมถึงการอ่อนตัวของค่าเงินบาทที่เชื่อว่ายังมีแนวโน้มอ่อนค่า
ด้านบทสรุปความคิดเห็นผู้ค้าทองคำ (Gold Trader Consensus) จากผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่ ผู้ค้าส่งทองคำ และผู้ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ จำนวน 10 ตัวอย่าง พบว่าผู้ค้าส่วนใหญ่มีมุมมองต่อราคาทองคำในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 ในเชิงบวก โดยมีผู้ค้า 7 รายมองทองคำเฉลี่ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 รายมองราคาทองเฉลี่ยจะใกล้เคียงกับเดือนเมษายน โดยไม่มีรายใดมองว่าราคาทองคำเฉลี่ยในเดือนพฤษภาคมจะปรับตัวลดลง
ผู้ค้ามองว่าราคาทองคำในตลาดโลกน่าจะมีกรอบราคาสูงสุดอยู่ระหว่าง 1,200-1,220 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ส่วนกรอบการเคลื่อนไหวของราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1,160-1,180 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ สำหรับราคาทองคำแท่งในประเทศ (ความบริสุทธิ์ 95.5%) กลุ่มตัวอย่างให้น้ำหนักราคาสูงสุดที่ 19,000-19,500 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ และกรอบการเคลื่อนไหวต่ำสุดอยู่ที่ 18,000-18,500 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ
นอกจากนี้ศูนย์วิจัยทองคำยังได้จัดทำรายงานแนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐฯ กับราคาทองคำพบว่ากลุ่มผู้ค้าส่วนใหญ่เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายภายในการประชุมเดือนกันยายน 2558 ผลกระทบที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบสำรวจพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ค้ารายใหญ่เชื่อว่าราคาอาจจะลดลงต่ำสุดใกล้ระดับ 1,100 เหรียญ
นายกมลธัญ กล่าวว่า หากเฟดยังไม่ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสเห็นราคาทองคำในประเทศแตะระดับ 20,000 บาท ภายใต้ค่าเงินบาท 34.00 บาท/ดอลลาร์ ในช่วง 3-6 เดือนนี้ และราคาทองโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 1,230-1,250 เหรียญต่อออนซ์
ทิศทางของค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่าจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวดีนัก จะเห็นได้จากตัวเลขภาคการส่งออก ขณะที่การไหลเข้าของเงินทุน ยังคงมีน้อยเนื่องจาก P/E ของหุ้นไทยปัจจุบันถือว่าแพง โดย P/E อยู่ที่ 16-17 เท่า ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อที่ติดลบส่งผลให้ประเทศไทยเริ่มเกิดภาวะเงินฝืด ส่งผลทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มจะไหลออกมากกว่า รวมถึงยังไม่มีปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศจึงกดดันให้ภาพรวมเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งน่าจะมีโอกาสแตะ 34.00 บาท/ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามดูการประชุม กนง. ครั้งที่จะถึงนี้ หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกจะส่งผลทำให้เงินบาทปรับตัวอ่อนค่ามากกว่า 34.00 บาท/ดอลลาร์
ทั้งนี้ แนะนำการลงทุน เมื่อราคาทองอยู่ที่ 19,000-19,500 บาท ให้ขายทำกำไรไปก่อนรอจังหวะย่อตัวลงอีกครั้งหนึ่งแล้วค่อยสะสมซื้อ