TMB คาดกนง.10 มิ.ย.คงดอกเบี้ย รอดูสัญญาณเงินเฟ้อ-ส่งออกก่อนส่งผ่านนโยบายการเงินใน H2

ข่าวเศรษฐกิจ Friday June 5, 2015 15:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 10 มิ.ย.นี้ กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 เพื่อรอประเมินประสิทธิผลหลังปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุม 2 ครั้งล่าสุด แต่ยังไม่ปิดโอกาสที่อาจมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในครึ่งปีหลัง หากสถานการณ์เงินเฟ้อและการส่งออกยังไม่ดีขึ้น

สำหรับการลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุด มีส่วนช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างชัดเจน โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลงราว 1 บาท มาอยู่ที่ระดับประมาณ 33.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยพยุงภาคการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังได้บ้าง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยเดือนเมษายนชี้ให้เห็นถึงการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวแข็งแกร่งและการเบิกจ่ายงบภาครัฐเร่งตัวได้ดีขึ้น ในขณะที่การใช้จ่ายของเอกชนในประเทศและรายได้จากการส่งออกยังคงอ่อนแรง ด้านความเชื่อมั่นในภาคเอกชนที่หักหัวลงก็เป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง

"ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าโอกาสที่ กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมที่จะถึงนี้มีมากกว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม หลังภาพเศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ในขณะที่กระสุนทางการเงินเริ่มเหลือน้อย การที่ กนง. ปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งก่อนเป็นการเพิ่มแรงหนุนแก่เศรษฐกิจอย่างทันท่วงที(Preemptive) หลังความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจไทยมีสูงขึ้น หรือกล่าวในอีกนัยหนึ่งก็คือ กนง.ได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจรองรับความเสี่ยงเอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ดังนั้น ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องลดดอกเบี้ยลงอีกมีไม่มากนัก" เอกสารเผยแพร่ ระบุ

นอกจากนี้ จากการที่ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ในปัจจุบัน ส่งผลให้ขีดความสามารถในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมมีอย่างจำกัด จากสถิติที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเคยแตะระดับต่ำสุดที่ร้อยละ 1.25 ในช่วงปี 2546 (หลังวิกฤตดอทคอม) และปี 2552 (หลังวิกฤตซับไพร์ม) ดังนั้นการปรับลดดอกเบี้ยอีกเพียงครั้งเดียวจะทำให้อัตราดอกเบี้ยลงไปเท่ากับระดับต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา และหากประเมินผ่านเครื่องชี้เศรษฐกิจในสถานการณ์ปัจจุบัน เทียบกับสองช่วงเวลาดังกล่าว จะพบว่าสถานการณ์ในปัจจุบันน่าจะมีแนวโน้มไม่สู้ดีนักหากเทียบกับในช่วงปี 2546 แต่ถือว่ามีความแข็งแกร่งกว่ามากหากเทียบกับช่วงปี 2552 ดังจะเห็นได้จากในปี 2546 จีดีพีขยายตัวกว่าร้อยละ 7.2 การส่งออกเติบโตร้อยละ 17.4 ส่วนในช่วงปี 2552 จีดีพีหดตัวร้อยละ 0.7 และส่งออกติดลบร้อยละ 14.3

ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่ายังมีโอกาสที่ กนง.จะออกโรงกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีความเสี่ยงหลักๆ ที่ต้องติดตามอยู่ 2 ประเด็น ความเสี่ยงแรกคือ เงินเฟ้ออาจหลุดกรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อยาวนานกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยประเมินไว้ ในปัจจุบัน ธปท. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะเร่งตัวขึ้นกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในช่วงไตรมาสสี่ ส่งผลให้ประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปี 2558 ของ ธปท. ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.2 แต่ในขณะนี้อัตราเงินเฟ้อในช่วงห้าเดือนแรกของปี ขยายตัวติดลบร้อยละ 0.8 และยังมีแนวโน้มเป็นลบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นศูนย์วิเคราะห์ฯ จึงมองว่าหากราคาน้ำมันไม่ดีดตัวกลับในช่วงที่เหลือของปี โอกาสที่เงินเฟ้อจะติดลบในปีนี้มีค่อนข้างสูง

สำหรับความเสี่ยงอีกประการ คือ รายได้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จากการส่งออกสินค้าอาจติดลบต่อเนื่อง จากราคาสินค้าส่งออกที่ปรับตัวลดลงภายใต้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักยังอ่อนแอ โดยในประมาณการล่าสุด ธปท.ประเมินว่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 0.8 ในขณะที่ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าจะหดตัวร้อยละ 1.7

อนึ่ง ธปท.จะมีการเปิดแถลงประมาณการเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งอาจมีการปรับตัวเลขประมาณการการขยายของเศรษฐกิจ การส่งออก รวมถึงอัตราเงินเฟ้อในวันที่ 19 มิ.ย. โดยตัวเลขดังกล่าวจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นถึงมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจของ ธปท.ซึ่งจะมีผลต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ