ทั้งนี้มองว่าในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปี สภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยจะยังคงเติบโตได้อย่างช้าๆ ความเสี่ยงหลัก คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจเติบโตต่ำกว่าคาด ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป หลังจากราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทำสถิติต่ำสุดต่อเนื่อง มีเพียงค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงส่งผลดีต่อรายรับในรูปเงินบาทของผู้ส่งออก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูงและมีสัดส่วนการส่งออกต่อยอดขายสูง เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าเกษตร ส่วนสินค้าส่งออกที่คาดว่าจะเติบโตดีในช่วงที่เหลือของปี ได้แก่ รถยนต์นั่ง, รถจักรยานยนต์, เครื่องประดับ, ไก่สดแช่แข็ง, ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง, เครื่องดื่ม และเครื่องจักรกล ซึ่งเป็นสินค้าที่ยังมีความต้องการจากต่างชาติและไทยยังคงได้เปรียบทางการแข่งขัน
"จากปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงรุมเร้า ประกอบกับยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้ภาคการส่งออกดีขึ้น ส่งผลให้ศูนย์วิเคราะห์ฯ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของการส่งออกลง จากเดิมหดตัวร้อยละ 1.7 เป็นหดตัวร้อยละ 5.5 ต่ำสุดในรอบ 6 ปี" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนกรกฎาคม โดยมูลค่าการส่งออกในรูปดอลล่าร์สหรัฐหดตัวร้อยละ 3.6 ชะลอลงจากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 7.9 ส่งผลให้การส่งออกในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาหดตัวร้อยละ 4.7 เมื่อพิจารณาในเชิงราคาและปริมาณแล้วพบว่าการส่งออกในเชิงปริมาณหดตัวร้อยละ 2.9 สะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์ของตลาดส่งออกที่ลดลง ส่วนราคาสินค้าส่งออกหดตัวร้อยละ 1.8 ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง และจากการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์ปรับเป้าหมายการส่งออกจากขยายตัวร้อยละ 1.2 เป็นหดตัวร้อยละ 3.0
นอกจากไทยที่เผชิญภาวะการส่งออกหดตัวแล้ว ประเทศผู้ส่งออกทั่วโลกต่างประสบปัญหาส่งออกหดตัวเช่นเดียวกัน อาทิ ประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น อินโดนิเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ การส่งออกครึ่งปีแรกหดตัวเฉลี่ยร้อยละ 6.8 ไต้หวันหดตัวร้อยละ 7.8 และอินเดียหดตัวสูงถึงร้อยละ 15.3
ทั้งนี้ ในระยะ 7 เดือนที่ผ่านมา ตลาดส่งออกหลักส่วนใหญ่หดตัว ไม่ว่าจะเป็นตลาดยุโรปและญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างช้าๆ และค่าเงินมีทิศทางอ่อนค่า ตลาดจีนประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ตลาดอาเซียน 5 ฮ่องกง และไต้หวันที่การส่งออกชะลอตามเศรษฐกิจจีน เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกไปจีนสูง ซึ่งตลาดดังกล่าวมีสัดส่วนรวมกันราวร้อยละ 54 ของการส่งออกรวม อยู่ในภาวะหดตัวร้อยละ 7.9 ส่วนตลาดที่เติบโตได้ดี ได้แก่ สหรัฐฯขยายตัวร้อยละ 3.7 จากเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะฟื้นตัว CLMV ขยายตัวร้อยละ 8.5 และออสเตรเลียขยายตัวร้อยละ 11.1 เติบโตจากการส่งออกรถยนต์ เนื่องจากมีการย้ายฐานการผลิตออกไปจากออสเตรเลีย