นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 35.73 บาท/ดอลลาร์ จากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 35.74 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามภูมิภาคเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา และเมื่อเวลา 09.15 น. เงินบาทปรับตัวอ่อนค่ามาอยู่ที่ระดับ 35.77 บาท/ดอลลาร์
"ทิศทางเงินบาทวันนี้น่าจะ side way แกว่งตัวในกรอบ รอปัจจัยใหม่" นักบริหารเงิน กล่าว
ตลาดรอการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐในช่วงค่ำวันศุกร์ และการประชุมรัฐมนตรีคลังของกลุ่ม G20 ในสัปดาห์นี้
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ไว้ระหว่าง 35.70-35.85 บาท/ดอลลาร์เช่นเดิม
ล่าสุด SPOT อยู่ที่ระดับ 35.7400 บาท/ดอลลาร์ ส่วน THAI BAHT FIX 3M(1 ก.ย.) อยู่ที่ 1.82725% ส่วน THAI BAHT FIX 6M(1 ก.ย.) อยู่ที่ 1.74625%
*ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 120.08 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 119.87 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1271 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.1257 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.อยู่ที่ระดับ 35.7430 บาท/ดอลลาร์
- ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ มีมติเห็นชอบ 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในเฟสแรก วงเงิน 1.36 แสนล้านบาท เพื่อให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และ ครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเตรียมมาตรการในเฟสที่ 2 เพื่อกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศต่อทันที
- คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย คาดว่า จะมีการปรับตัวเลขประมาณการการส่งออกและอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีใหม่อีกครั้ง โดยเบื้องต้นส่งออกคาดว่าจะติดลบ 4% จากเดิมตั้งเป้าว่าจะติดลบ 2% เท่านั้น และจีดีพีจะโตต่ำกว่า 3% จากเดิมตั้งเป้าเติบโต 3.5% “การปรับเป้าตัวเลขดังกล่าว มีปัจจัยหลักมาจากตัวเลขส่งออก 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) ที่ล่าสุดติดลบ 4.66% ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ภาวะเศรษฐกิจภาพรวม โดยเฉพาะจีนก็ยังคงชะลอตัว ทำให้ตลาดส่งออกหลักๆยังคงไม่ดีขึ้นและยังมีปัญหาค่าเงินหยวน ทำให้ผู้ส่งออกของไทยต้องติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและประเมินแนวโน้มอีกครั้ง ส่วนสหรัฐฯที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มจะค่อยๆฟื้นตัว แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น"
- รมว.คมนาคม เร่งปรับแผนงานลงทุนโครงสร้างพื้นฐานช่วง 3 เดือนนี้ให้กระชับมากขึ้น เพื่ออัดเม็ดเงินกระตุ้นศก. ตามนโยบาย พร้อมเร่งรัดหน่วยงานประมูลและทำสัญญาโครงการในงบประมาณปี 59 ให้เสร็จภายใน ธ.ค.นี้ ขณะที่แบ่งงานใหม่คุมรถไฟไทย-จีนและไทย-ญี่ปุ่นเอง ส่วน"ออมสิน"คุมร.ฟ.ท.และทางคู่เป็นหลัก
- "บีโอไอ" เตรียมปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเร่งรัดการลงทุนในประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษ คาดอาจเสนอในการประชุมบอร์ดบีโอไอประเดิมครม.ใหม่นัดแรก 16 ก.ย.นี้ พร้อมชี้ช่องทางธุรกิจไทยไปลงทุน 5 ประเทศเป้าหมายอาเซียน
- นายจิรัชยุติ์ อัมยงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพาณิชย์ธนกิจ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า แม้ว่าการส่งออกของไทยตั้งแต่ต้นปีจะติดลบต่อเนื่อง แต่ลูกค้าธุรกิจต่างประเทศทั้งนำเข้าและส่งออกยังไปได้ดี เนื่องจากธนาคารเลือกเจาะลูกค้าส่งออก นำเข้าประเภทปัจจัย 4 ที่มีความต้องการสม่ำเสมอ เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค รวมทั้งกลุ่มที่ซื้อมาขายไป (เทรดดิ้ง) ที่ยังขยายตัวดี
- นายอลงกต บุญมาสุข ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อธุรกิจขนาดย่อม ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากที่ชัดเจน ทำให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจที่จะปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพื่อช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นและเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ
- นายพิชญา พิสุทธิกุล อุปนายกสมาคมค้าทองคำ และนายกสมาคมเพชรพลอยเงินทอง เปิดเผยว่า คาดว่าการซื้อขายทองคำรูปพรรณช่วงครึ่งปีหลัง 2558 ยังคงซบเซาต่อเนื่อง เพราะกลุ่มผู้บริโภคหลักคือเกษตรกร ยังได้รับผลกระทบจากราคาเกษตรลดลง และส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง จึงไม่สามารถเพาะปลูกได้ แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่เพราะระดับหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่ 2 ปีก่อนหน้ายังไม่ลดลง จึงประเมินว่ามาตรการอัดเงินเข้าระบบจะช่วยเหลือเศรษฐกิจให้ดีขึ้นเพียงเปลาะเดียวหรือในระยะสั้นเท่านั้น รัฐบาลต้องให้ความรู้เรื่องการเงินควบคู่ไปกับการใส่เงินเข้าระบบด้วย
- ปลัดกระทรวงพลังงาน ฟุ้งนโยบายลงทุนของกระทรวงพลังงานช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 1 หมื่นล้านบาท ชี้เหตุ การณ์ระเบิดไม่กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน ด้าน กฟผ.คาดโรงไฟฟ้ากระบี่ผ่านความเห็นชอบอีเอชไอเอไตรมาสแรก ปี 2559 หวั่นหากล่าช้าจะกระทบแผนผลิตไฟฟ้า
- คริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกโรงเตือนให้บรรดาประเทศกำลังพัฒนาเตรียมพร้อมรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกให้อ่อนแอลงกว่าที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์เอาไว้เมื่อ 2 เดือนที่แล้วที่ 3.3% ในปีนี้
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส(WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการดิ่งลงของตลาดหุ้นทั่วโลกส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและตัดสินใจเทขายสัญญาน้ำมันดิบเช่นกัน โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ร่วงลง 3.79 ดอลลาร์ ปิดที่ 45.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือน ต.ค.ดิ่งลง 4.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ เพราะได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้การร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลกยังกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้น 7.3 ดอลลาร์ หรือ 0.64% ปิดที่ระดับ 1,139.80 ดอลลาร์/ออนซ์
- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินยูโรและเงินเยนเมื่อคืนนี้จากความวิตกเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเลี่ยงความเสี่ยงและหันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างสกุลเงินเยน โดยค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1309 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1220 ดอลลาร์สหรัฐ