ทั้งนี้ รัฐบาลมีแนวคิดในการดูแลเศรษฐกิจ 3 ประการ คือ ประการแรกช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งล่าสุด ครม.ได้อนุมัติแพ็คเกจช่วยเหลือไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในเวลา 3 เดือน
ประการที่สอง คือ การสร้างระบบเศรษฐกิจไทยให้เกิดความสมดุลทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยให้ภาคเอกชนเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากใกล้ชิดข้อมูลและมีความเข้าใจต่อสถานการณ์ ขณะที่รัฐบาลจะมีหน้าที่คอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปในทิศทางที่ดี เช่น การให้สิทธิประโยชน์จูงใจการลงทุน และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
และประการที่สาม กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมกันผลักดันให้มีการใช้ระบบชำระเงินด้วยอิเลคทรอนิกส์ e-payment เพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในอนาคต รวมทั้งผลักดันให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางจัดทำระบบบัญชีเดียว ซึ่งต้องหามาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบมากขึ้นเพื่อให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้นและมีงบประมาณเพียงพอสำหรับใช้ในการลงทุน
ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า เม็ดเงินตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะจัดสรรลงไปยังกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองในส่วนที่ธนาคารออมสินรับผิดชอบนั้น คาดว่าก้อนแรกประมาณ 5,000-10,000 ล้านบาทจะเข้าสู่ระบบได้ภายในเดือน ก.ย.นี้ และภายใน 3 เดือนจะทยอยเข้าสู่ระบบได้ทั้งหมด 30,000 ล้านบาท ซึ่งจะดูแลสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ให้อยู่ในระดับประมาณ 1% ในช่วง 7 ปี