รมว.คลัง คาดภายในสิ้นปีนี้เซ็นจัดซื้อจัดจ้าง 6 โครงการ,ปี 59 อีก20โครงการ หนุนเม็ดเงินเข้าระบบ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 26, 2015 16:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 5 ว่า มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3.8% เนื่องจากพื้นฐานของเศรษฐกิจดีขึ้นกว่าปีนี้มาก โดยเฉพาะการขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ โดยแหล่งเงินจะมาจากงบประมาณ โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) และกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน)

ทั้งนี้ คาดว่าภายในสิ้นปี 2558 ส่วนราชการจะสามารถลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างได้จำนวน 6 โครงการ คิดเป็นวงเงินลงทุน 1.8 แสนล้านบาท และในปีหน้าอีก 20 โครงการ คิดเป็นวงเงินลงทุน 1.6 ล้านล้านบาท และจะสามารถผลักดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปี 2559 ได้ประมาณ 1.3-1.4 แสนล้านบาท และปี 2560 อีก 3 แสนล้านบาท ขณะที่ปี 2561 อยู่ที่ 4 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินในส่วนนี้จะถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนให้มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย

“ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการลงทุนของประเทศไทย ดังนั้นเมื่อรัฐบาลเดินหน้าการลงทุนมากขึ้น ภาคเอกชนก็น่าจะลงทุนได้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยหลังจากนี้จะมีการพิจารณามาตรการหักค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่งอนุมัติในหลักการไป ซึ่งในส่วนนี้จะเข้าไปช่วยเสริมโครงการลงทุนในส่วนที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้เตรียมดำเนินการในปีหน้า ซึ่งในส่วนที่ต้องพิจารณาเพิ่มคือตัววัดว่าเอกชนมาลงทุนได้ตามแผนหรือไม่ และถ้าไม่เป็นไปตามแผนจะมีแนวทางการแก้ปัญหาอย่างไร" นายอภิศักดิ์ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกองทุนหมู่บ้าน วงเงิน 6 หมื่นล้านบาทนั้น ขณะนี้มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินไปแล้ว 4 หมื่นล้านบาท ร่วมทั้งได้มีการมอบแนวทางในการยกระดับกองทุนหมู่บ้านในเกรด C และ D ให้ขยับขึ้นเป็นเกรด B เพื่อให้สามารถเข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้ ขณะที่โครงการเงินกู้อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (ซอฟท์โลนต์) ที่ดำเนินการโดยธนาคารออมสิน วงเงิน 1 แสนล้านบาทนั้น ขณะนี้ได้มีการยื่นคำขอเข้ามาเต็มวงเงินเรียบร้อยแล้ว และธนาคารได้มีการอนุมัติวงเงินไปแล้วทั้งสิ้น 6.8 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 68% ส่วนจะมีการขยายวงเงินเพิ่มหรือไม่ คงต้องมาพิจารณาถึงความเหมาะสมอีกครั้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ