"ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง"ตั้งเป้าปี 59 ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อโตกว่า 10%

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 12, 2016 18:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิชิต พยุหนาวีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าปี 59 จะปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ทั้งหมด 1 แสนสัญญา หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 58 ที่มีการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ทั้งหมด 7.8 หมื่นสัญญา หรือเติบโต 37% จากปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ การเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทหลัก ๆ จะมาจากการขยายจุดให้บริการอย่างน้อย 1 สาขา/เดือน พร้อมกับส่งทีมงานเข้าไปประจำอยู่ตามร้านจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และทำเรื่องอนุมัตรสินเชื่อภายใน 30 นาที เพื่อให้ร้านจำหน่ายจักรยานยนต์มีความพึงพอใจ และอยากใช้บริการกับทางบริษัทฯ

นายวิชิต กล่าวว่า แม้ว่าในปี 58 ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไม่สู้ดีนัก การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวเพียง 1.7% ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนในปีที่ผ่านมา ติดลบ 2% เมื่อเทียบกับปี 57 ขณะที่คาดการณ์ว่าในปี 59 จะเติบโตน้อยกว่า 1% แต่เชื่อว่าด้วยกลยุทธของบริษัทจะทำให้การปล่อยสินเชื่อยังเติบโตได้

"ปีนี้เราจะเน้นการขยายสาขาและบุคลากรให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และจะช่วยให้ยอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นสัญญาต่อเดือน และส่งทีมงานเข้าไปประจำอยู่กับหน้าร้านขายจัรกยานยนต์ต่างๆเพิ่มขึ้น รวมถึงทำเรื่องอนุมัติภายใน 30 นาทีเพื่อให้คู่ค้าอย่างร้านจำหน่ายจักรยานยนต์ และลูกค้าที่ใช้บริการเกิดความพึงพอใจ ซึ่งในส่วนนี้ช่วยให้บริษัทฯมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดจะติดลบในปี 58 และจะขยายตัวเพียง 1% ในปี 59 ก็ตาม"นายวิชิต กล่าว

สำหรับสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล 45% รองลงมาคือภาคตะวันออก 40% ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ รวมสัดส่วน 15%

นอกจากนี้ ในปี 59 บริษัทยังตั้งเป้าหมายยอดลูกหนี้ค้างชำระไม่เกิน 10% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 12.25% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 57 ที่อยู่ในระดับ 10.32% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งกลุ่มลูกค้าของบริษัทมาจากปล่อนสินเชื่อให้เกษตรกร ทำให้ยอดหนี้คงค้างเพิ่มขึ้น

นายวิชิต กล่าวต่อว่า บริษัทยังไม่มีแผนและยังไม่มีความจำเป็นที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ ภายใน 3 ปีนี้ เนื่องจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หลายประเทศ จึงยังมีเงินทุนเพียงพอที่จะรองรับการขยายกิจการของบริษัทฯ

"เรายังมองไม่เห็นความจำเป็นที่จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะบริษัทแม่มีขนาดใหญ่ และมีเงินทุนเพียงพอรองรับการขยายกิจการของบริษัทฯ"นายวิชิต กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ