ผลการดำเนินการตามโครงการฯ จนถึงขณะนี้ มีปริมาณยางที่รับซื้อแล้วจำนวน 697.64 ตัน จากเกษตรกรจำนวน 7,171 รายเป็นยางแผ่นดิบจำนวน 264.03 ตัน น้ำยางสดจำนวน 144.76 ตัน และยางก้อนถ้วยจำนวน 288.86 ตัน คิดเป็นเงินที่จ่ายให้เกษตรกรชาวสวนยาง 29.80 ล้านบาท และจากการสำรวจความพึงพอใจพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 85 พึงพอใจต่อมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลดังกล่าว
รมว.เกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ปัญหาที่เกษตรกรนำยางมาขายน้อย เนื่องจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือทยอยปิดกรีดยางแล้ว ส่วนภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่อง เกษตรกรเลือกขายให้พ่อค้าในพื้นที่เพราะสะดวกกว่า ความกังวลเรื่องคุณภาพยางของเกษตรกรว่าจะไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่โครงการฯกำหนด จุดรับซื้อกระจายไม่ทั่วถึง การรับเงินผ่าน บัญชี ธ.ก.ส. ใช้เวลา 2 วัน ปัญหากลุ่ม/สถาบันเกษตรกรไม่สมัครเป็นจุดรับซื้อยางในโครงการฯ เพราะได้รับค่าดำเนินการน้อย
โดยแนวทางแก้ไขแก้ปัญหาดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้ กยท. รีบประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในสัปดาห์นี้ เพื่อปรับเงื่อนไขการรับซื้อยางให้สะดวกและคล่องตัวขึ้น เปิดจุดรับซื้อยางเพิ่มทุกจังหวัด ประสานกลุ่ม/สถาบันเกษตรกรสร้างความเข้าใจให้เกษตรกรผลิตยางได้คุณภาพตรงตามหลักเกณฑ์การรับซื้อของโครงการฯ และสร้างความเข้าใจให้ชาวสวนยางในพื้นที่รับทราบข้อมูลข่าวสารมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงค่าดำเนินการ ค่าขนส่งให้เหมาะสม เพื่อจูงใจกลุ่ม/สถาบันเกษตรกรให้สมัครเป็นจุดรับซื้อยางในโครงการฯ
สำหรับความคืบหน้าผลการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ได้จ่ายเงินให้เกษตรกรชาวสวนยาง แบ่งเป็น เจ้าของสวนยางจำนวน 114,029 ครัวเรือน จำนวนเงิน 976,348,125 บาท คนกรีดยางจำนวน 108,997 ครัวเรือน จำนวนเงิน 619,055,850 บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 223,026 ครัวเรือน จำนวนเงิน 1,595,403,975 บาท จากข้อมูลการรับแจ้งเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้วจำนวน 641,694 ครัวเรือน โดย กยท.ลงระบบบันทึกข้อมูลแล้ว 193,937 ครัวเรือน อยู่ระหว่างตรวจสอบและบันทึกข้อมูล 217,013 ครัวเรือน คาดว่าจะบันทึกระบบครบภายในสิ้นเดือนนี้ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของกรมส่งเสริมการเกษตรอีก 230,744 ครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการและให้ความสำคัญการดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางและโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐให้โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยได้รับการช่วยเหลือเท่าเทียมและเป็นธรรม เกิดประโยชน์กับเกษตรกรอย่างเต็มที่ โดยมีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มาร่วมตรวจสอบด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลกับทะเบียนราษฎร ป้องกันการสวมทะเบียน หรือการเวียนเทียน จึงมั่นใจได้ว่าเงินที่รัฐบาลช่วยเหลือจะถึงมือเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท.อย่างเป็นธรรมทั่วถึงแน่นอน ซึ่งการจ่ายเงินจะโอนเข้าบัญชีเกษตรกรที่เปิดไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) โดยตรง