สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 59 คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ 3.3% จากช่วงคาดการณ์ที่ 3.0-3.6% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3.7% เนื่องจากคาดว่าการส่งออกที่ยังได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน ทำให้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากที่คาดการณ์ครั้งก่อน หรือหดตัวราว 0.7%
นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 59 ยังมีการเติบโตได้ดีที่ระดับ 3.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่เติบโต 2.8% แม้จะมีการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจลดลงเล็กน้อย โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการส่งออกบริการ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากโครงการลงทุนยกระดับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านการคมนาคมขนส่ง โครงการบริหารจัดการน้ำและพัฒนาระบบขนส่งทางถนน และกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนในปี 59 ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามแนวโน้มการจ้างงาน และรายได้นอกภาคเกษตรยังอยู่ในเกณฑ์ดี รวมทั้งแนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำจะช่วยให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการลงทุนภาคเอกชน นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ อาทิ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวประชารัฐ ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ
สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจของไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยในส่วนของเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 59 จะอยู่ที่ 0.3% (โดยมีช่วงประมาณการที่ 0.0 - 0.6%) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนตามแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับต่ำตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงมีทิศทางลดลง
ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลการค้าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากมูลค่านำเข้าสินค้าคาดว่าจะหดตัวตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่งผลให้คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลประมาณ 38.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 9.7% ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 9.4-10.0% ของ GDP)
อย่างไรก็ตาม นางสาวกุลยา ตันติเตมิท รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การส่งออกสินค้าของไทยในปีนี้จะยังคงมีข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการส่งออก ที่คาดว่าจะส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำลงจากที่คาดการณ์ครั้งก่อน
ส่วนผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งในปีนี้ได้รวมไว้ในประมาณการครั้งนี้แล้ว โดยยืนยันว่าปัญหาไม่ได้รุนแรงตามที่หลายฝ่ายออกมาคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ โดย สศค.ประเมินว่าภัยแล้งจะสร้างความเสียหายต่อ supply side ประมาณ 0.1-0.5% ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือน ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 81.5% ต่อ GDP ถือว่าไม่ใช่ปัจจัยที่น่ากังวล เนื่องจากสัดส่วนหนี้เสียยังอยู่ในระดับต่ำ จากการขยายตัวของสินเชื่อเริ่มชะลอตัวลง รวมทั้งการชะลอของกำลังซื้อของภาคครัวเรือนด้วย
นางสาวกุลยา กล่าวอีกว่า สศค.ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกลงเหลือโต 3.49% จากเดิมคาด 3.56% ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารโลกง เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศหลักโดยเฉพาะสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลง หลังเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ที่ออกมาไม่ดีเหมือนที่คาดการณ์
รวมถึงการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เลื่อนไปเดือนธ.ค.แทนจากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในมิ.ย. ซึ่งเป็นปัจจัยเข้ามากดดันการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้ ยังคาดว่าจะอยู่ในระดับ 35 เหรียญ สรอ./บาร์เรล โดยมองว่าราคาน้ำมันยังไม่มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ "ในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ โครงสร้างการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน" นางสาวกุลยา กล่าว