นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อมตัวแทนเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.)ได้เข้ายื่นหนังสือพร้อมรายชื่อประชาชนที่ร่วมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ.... และ ร่างพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่...) พ.ศ... ต่อ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
นายปานเทพ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาต่อที่ประชุม สนช. ในวันที่ 24 มิ.ย.นี้ อาจมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ ทั้งทางเศรษฐกิจ พลังงาน และทางการทหาร รวมทั้งไม่ได้ให้อธิปไตยทางพลังงานแก่ประเทศอย่างแท้จริง แต่กลับให้สิทธิกับเอกชนเป็นผู้ขายปิโตรเลียม ซึ่งอาจเป็นเพียงการอำพรางที่ทำให้ดูเหมือนมีทางเลือกเท่านั้น เพราะกรรมสิทธิ์การขายพลังงานยังอยู่ในมือเอกชนเช่นเดิม
อีกทั้งยังเป็นกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ. ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ซึ่ง สนช. ได้เห็นชอบกับรายงานดังกล่าวแล้ว แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กลับมีมติไม่สอดคล้องกับรายงานดังกล่าวจึงขาดความชอบธรรมที่จะนำเสนอ ดังนั้นจึงขอให้ สนช. ยับยั้งและไม่รับร่างกฎหมาย 2 ฉบับนี้ด้วย
นอกจากนี้ การไม่จัดตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติและไม่กำหนดให้อยู่ในแผนตารางเวลาใดๆ ของรัฐบาล แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลไม่มีองค์กรของรัฐที่จะสามารถถือกรรมสิทธิ์ บริหาร และขายปิโตรเลียม ดังนั้นระบบที่อ้างว่าจะแบ่งปันผลผลิตนั้น ตามควาเมป็นจริง รัฐก็ทำได้เพียงแค่ฝากเอกชนขายให้ และรอรับผลประโยชน์ตามสัดส่วนเท่านั้น จึงเท่ากับเป็นการสละสิทธิ์ในการขายปิโตรเลียมของรัฐ เท่ากับยกอธิปไตยการขายปิโตรเลียมที่ผลิตได้ให้เอกชน ทำให้เสียเปรียบทางธุรกิจ
ทั้งนี้ ทางเครือข่ายฯ ได้ทำร่างพ.ร.บ.ประกอบกิจการปิโตรเลียม ภาคประชาชน และอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อให้ประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายไม่น้อยกว่า 10,000 รายชื่อ เพื่อให้เสนอให้สนช.พิจารณาเห็นชอบต่อไป ด้านนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่หนึ่ง เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว โดยกล่าวว่า ยินดีรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา เพราะถือเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของภาคประชาชน พร้อมทั้งให้ฝ่ายกฎหมายไปศึกษากระบวนการหลังจากนี้ว่าควรจะดำเนินการต่อไปอย่างไร