ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน โดยดำเนินการใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ จ.ชลบุรี ระยอง และ ฉะเชิงเทรา โดยจะต้องมีการบูรณการเชื่อมโยงทั้งระบบ ทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและการดึงดูดการลงทุนภาคเอกชน ได้แก่ ท่าอากาศยานทั้ง 3 แห่ง คือ สุวรรรภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา เชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งทั้งทางถนน ทางราง ทางเรือ และทางอากาศ เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทาง ลดเวลาในการขนส่งสินค้า ลดต้นทุนโลจิสติกส์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กระทรวงคมนาคม กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำรายละเอียดโครงการฯโดยให้มีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ ที่คำนึงถึงการเชื่อมโยงทั้งภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน แผนดำเนินการด้านผังเมือง การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว และผลประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ซึ่งงานบางส่วนได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว
นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติหลักการโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในส่วนของภาครัฐไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท โดยมีพื้นที่เป้าหมายระยะแรก 2 จุด คือ บริเวณมาบตาพุด จังหวัดระยอง และบริเวณแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งจะขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมรองรับการลงทุนเพิ่มเติมอีกราว 3 หมื่นไร่
โครงการดังกล่าวจะเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางเรือของอาเซียนเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึกทวายในเมียนมา/ท่าเรือสีหนุวิลล์ของกัมพูชา/ท่าเรือวังเตาของเวียดนาม นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม ได้แก่ การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกจุกเสม็ด, การพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา, การตั้งศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน, การขยายท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือมาบตาพุด, การพัฒนาโครงข่ายขนส่งทางบก เป็นต้น
"วันนี้ ครม.ยังไม่ได้พิจารณาถึงงบลงทุน แต่คาดว่าทั้งโครงการไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะดึงดูดการลงทุนได้อีกหลายเท่าตัว อีก 3 เดือนคงจะเห็นภาพที่ชัดเจน"นายปรเมธี กล่าว