พาณิชย์ เร่งเจาะตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในเรือนจำสหรัฐฯ หลังเป็นที่นิยมอย่างมาก

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday September 27, 2016 11:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการเร่งรัดทำการตลาดเชิงกลยุทธ์ในตลาดหลักเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Niche Market) ว่า ทูตพาณิชย์และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (HTA) ในสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันทำการตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทยเข้าสู่เรือนจำของสหรัฐฯ โดยสินค้าดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมาก เปรียบเสมือนเป็นสินค้ามูลค่าสูงทดแทนการใช้จ่ายในรูปแบบเงินตรา เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีรสชาติถูกปากและมีความหลากหลาย จึงได้กลายเป็นอาหารเลิศรสสำหรับนักโทษในเรือนจำ

ปัจจัยหลักที่ทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้รับความนิยมในหมู่นักโทษ คือ คุณภาพที่ลดลงและรสชาติที่ไม่ถูกปากของอาหารในเรือนจำ เนื่องจากงบประมาณด้านอาหารของนักโทษไม่สามารถตอบสนองต่อจำนวนนักโทษที่เพิ่มขึ้นในเรือนจำของสหรัฐฯ ได้ ส่งผลให้นักโทษจำนวนมากต้องบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพื่อทดแทนอาหารหลัก นอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะมีราคาถูกและมีรสชาติที่ดีกว่าอาหารเรือนจำแล้ว ยังง่ายต่อการปรุงและให้พลังงานสูง อีกทั้งยังสามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าของเรือนจำอีกด้วย

“ในเรือนจำสหรัฐฯ มีระบบเศรษฐกิจของตนเอง นักโทษไม่ได้ใช้จ่ายด้วยเงินสด แต่ใช้ระบบการแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter System) สินค้าแต่ละประเภทจะมีมูลค่าที่แตกต่างกันและจะสามารถแลกเปลี่ยนกับสินค้าประเภทอื่นๆ ได้ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเศรษฐกิจเรือนจำสหรัฐฯ คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยถูกยกให้เป็นมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ในระบบเรือนจำ" อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกล่าว

การศึกษาระบบเศรษฐกิจในเรือนจำสหรัฐฯ พบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นเงินตราสำคัญในเรือนจำ และมีการประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย เช่น การนำมาบริโภค การใช้เป็นค่าตอบแทนในการบริการต่างๆ หรือ การใช้แลกเปลี่ยน/ซื้อสินค้าอื่นๆ เช่น แปรงสีฟัน เสื้อผ้า ผลไม้ ทั้งนี้แบรนด์ที่ได้รับความนิยม คือ แบรนด์ที่เรือนจำนำเข้ามาจำหน่ายเท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดการครองตลาดของแบรนด์ดังกล่าวไปโดยปริยาย

รายงานสถิติการส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารสำเร็จรูปส่งออกไทยไปทั่วโลกพบว่า เมื่อปี 2558 มีการส่งออกรวม 1,069 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่งออกไปสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับหนึ่งคิดเป็นมูลค่า 170 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามมาด้วยเมียนมา และจีน

ทั้งนี้ การส่งออกในช่วง 7 เดือนแรก (มกราคม – กรกฎาคม) ของปีนี้ ไทยส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 คิดเป็นมูลค่า 640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นอันดับหนึ่ง มีมูลค่า 95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาเป็น จีน ฟิลิปปินส์ และเมียนมา โดยแนวโน้มการส่งออกในตลาดอาเซียนขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ส่วนตลาดยุโรป มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดสหราชอาณาจักร และเนเธอแลนด์ เป็นต้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ