SMEBank ตั้งเป้าลด NPL สิ้นปีเหลือ 1.8 หมื่นลบ.ตามแผน-รุกสินเชื่อใหม่เน้นกลุ่ม S-Curve

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 28, 2016 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมชาย หาญหิรัญ ประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Development Bank เปิดเผยถึงผลประกอบการล่าสุด ณ เดือน ส.ค.59 มียอด NPL ลดลงเหลือ 19,486 ล้านบาท คิดเป็น 21.66% ของยอดสินเชื่อคงค้างทั้งหมด และคาดว่ายอด NPL สิ้นปีนี้จะเหลือประมาณ 18,000 ล้านบาท ตามแผนงานที่กำหนด

ส่วนการปล่อยสินเชื่อใหม่สู่ระบบเศรษฐกิจได้เบิกจ่ายไปแล้ว 21,953 ล้านบาท โดยยังมีผู้ประกอบการยื่นขอสินเชื่อค้างระหว่างพิจารณาอีกกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการที่ ธพว.ออกผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจผู้ประกอบการ 2 โครงการ คือ สินเชื่อ SMEs บัญชีเดียว วงเงินรวม 30,000 ลบ. และสินเชื่อ Soft Loan 3 เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ วงเงินรวม 3,000 ลบ. ซึ่งเริ่มเดินสายเปิดตัวตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดกว่า 20 แห่ง ได้รับความร่วมมือดีมากจากทั้งหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย คลังจังหวัด และอุตสาหกรรมจังหวัด จนมีคำขอกู้จากเอสเอ็มอีรายเล็กเข้ามาอย่างล้นหลาม คาดว่าจะสามารถอนุมัติและเบิกจ่ายได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 35,000 ล้านบาท

"สำหรับไตรมาส 4 ที่เหลือนี้ ธพว.ให้บริการทางการเงินเพื่อผลักดันการสร้างผู้ประกอบการในกลุ่ม S-Curve ตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม การจูงใจให้ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดาจดทะเบียนเปลี่ยนกิจการเป็นนิติบุคคล เพื่อรองรับระบบ E-Payment บัญชีเดียวตามนโยบายของกระทรวงการคลัง โดยจะมีทั้งการช่วยเหลือสนับสนุนสินเชื่อและร่วมลงทุนหนุนเสริมจัดทำเป็นโปรแกรมพิเศษ ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นชัดว่าผู้ประกอบการได้เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองแล้ว โดยจากสถิติผู้มายื่นขอสินเชื่อที่ ธพว.กว่า 80% เป็นนิติบุคคล

ส่วนความร่วมมือในโครงการศูนย์ SMEs Rescue Center นั้นได้ให้ทุกสาขาของ ธพว. เป็นหน่วยงานหลักในการคัดกรองและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีปัญหาเดือดร้อนด้านการเงิน ซึ่งได้ดำเนินการจนสามารถผลักดันลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ตามกฎหมายฟื้นฟูใหม่ เข้าสู่กองทุนพลิกฟื้น SMEs วงเงิน 1,000 ล้านบาท จนสำเร็จกลุ่มแรกจำนวน 4 ราย วงเงินที่ได้รับรวมกัน 2.2 ล้านบาท และจะทยอยนำเสนออีกหลายร้อยรายในเร็ว ๆ นี้

"ขณะนี้ ธพว. มีสถานะที่มั่นคงเข้มแข็งแล้วและพร้อมที่จะสนับสนุนทุกนโยบายของรัฐบาล จะไม่เป็นภาระการช่วยเหลือด้านงบประมาณ โดยยังคงเดินหน้าตามกรอบพันธกิจคือการช่วยเหลือเอสเอ็มอีรายเล็ก วงเงินไม่เกินรายละ 15 ลบ. ภายใต้ระบบการควบคุมภายในและการบริหารจัดการความเสี่ยงตามมาตรฐาน" นายสมชาย กล่าว

ด้านนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ธพว.มีความพร้อมที่จะช่วยตัวเองโดยไม่ต้องเสนอโครงการขอชดเชยดอกเบี้ยให้เป็นภาระของรัฐบาล ซึ่งเราได้ออกสินเชื่อ SMEs บัญชีเดียว วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียง 5% และโครงการเบิกจ่ายแฟคตอริ่งทั่วไทยในวันเดียว วงเงินรวม 4,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียง 3.99% ซึ่งต่ำกว่าอัตรา MLR ที่ 6.875% โดยส่วนต่างนั้น ธพว.ยอมเฉือนเนื้อลดให้ลูกค้าเองไม่ได้ขอชดเชยจากรัฐ ทั้งนี้เป็นผลจากการที่ ธพว.สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในองค์กรได้ต่ำกว่าแผน และยังลดต้นทุนเงิน ณ สิ้นปี 2558 ที่ 2.77% คงเหลือในปัจจุบันเพียง 2.10% เนื่องจาก ธพว.เป็นสถาบันการเงินรัฐไม่ได้มุ่งหวังกำไรสูงสุดเป็นสำคัญ ดังนั้นเมื่อมีผลประกอบการดีขึ้นแล้วก็จะคืนกลับให้ผู้ประกอบการทันที

"ผมเลยใช้คำว่า หย่านมแม่ เพื่อสื่อความหมายว่าเราต้องเติบโตด้วยตัวเองอย่างมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว ต้องยืนหยัดทำหน้าที่ตามพันธกิจองค์กรไปสู่เป้าหมาย ถึงเวลาแล้วที่ธนาคารนี้ต้องเดินและวิ่งสู่เส้นชัยด้วยตัวเอง มีความสามารถที่จะอยู่รอดในระยะยาว ไม่ให้เกิดความผิดพลาดการบริหารเช่นในอดีต โดยใช้วิธีการบริหารความเสี่ยง การกำกับและควบคุมภายในที่ดี เพื่อให้ฐานการเงินมั่นคงยั่งยืน" นายมงคล กล่าว

ส่วนไตรมาส 4 นี้ ฝ่ายจัดการได้ปรับกระบวนทัพเพิ่มเติมเน้น 5 ด้าน เสริมแกร่งและมุ่งสู่ธนาคารเพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการเต็มรูปแบบ ได้แก่ 1)ด้านพัฒนาระบบการให้บริการ เพื่อการอำนวยสินเชื่อและบริการลูกค้า 2.ด้านพัฒนาบุคลากรให้เป็นนักพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs 3.ด้านฐานะทางการเงินที่มั่นคงยั่งยืน 4.ด้านพัฒนาผู้ประกอบการและส่งเสริมการตลาดเพื่อช่วยเหลือ SMEs และ 5.ด้านพัฒนาองค์กรให้เข้มแข็งด้วยจริยธรรมธรรมาภิบาล ปลูกฝังค่านิยมที่ดี ต้นแบบที่ดี มีความโปร่งใสน่าเชื่อถือ เพื่อรองรับภารกิจที่จะตอบสนองนโยบายของรัฐบาลไปสู่มือผู้ประกอบการอย่างเต็มกำลัง นายมงคล กล่าว

นายมงคล ลีลาธรรม กล่าวว่า ได้รับมอบนโยบายจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้เร่งเรื่องการปฎิรูปองค์กร และสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง มุ่งสู่การเป็นรัฐวิสาหกิจ 4.0 รวมถึงธนาคาร โดยจะประสานความร่วมมือกับธนาคารรัฐทุกแห่งในการปล่อยสินเชื่อเพื่อเชื่อมโยง ได้แก่ สินเชื่อสตาร์ทอัพ และสินเชื่อเอสเอ็มอีเกษตร เพื่อเน้นให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้อย่างมั่นคง และประสบความสำเร็จ

สำหรับผลดำเนินงานภายหลังกระทรวงการคลังอนุมัติเงินเพิ่มทุนให้ 1 พันล้านบาทส่งผลให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 7 พันล้านบาท สามารถขยายสินเชื่อได้ 12 เท่า หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่อที่ปล่อยกู้ได้กว่า 1 แสนล้านบาท จากยอดสินเชื่อคงค้างปัจจุบันอยู่ที่ 9.5 หมื่นล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ