นอกจากนี้เอกชนยังเสนอรายละเอียดอื่น ๆ เช่น การทำความเข้าใจกับหน่วยงานกระทรวงการคลัง เรื่องการนำเข้าบิวเทนและโพรเพน เพื่อผสมเป็น LPG จำหน่าย เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการตีความทางกฏหมายเหมือนในอดีต ซึ่งกรมฯจะนัดหารือ กับกรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกรมเจ้าท่า เพื่อขอความชัดเจนทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้ยังมั่นใจว่าจะมีเอกชนนำเข้าได้ภายในเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งจะนับเป็นผู้นำเข้าเพื่อจำหน่ายในประเทศรายที่ 2 นอกเหนือจากบมจ.ปตท. (PTT)
ทั้งนี้ การนำเข้า LPG เป็นการรองรับปริมาณก๊าซธรรมชาติในประเทศที่จะลดลง เนื่องจากการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียม โดยเฉพาะแหล่งที่จะหมดอายุนั้นมีความล่าช้า ซึ่งจะกระทบต่อปริมาณการผลิต LPG ภายในประเทศให้ลดลงครึ่งหนึ่งในช่วงปี 64-65 ซึ่งเป็นช่วงที่แหล่งปิโตรเลียมใกล้จะหมดอายุ ทำให้อาจต้องนำเข้า LPG มากถึง 2-3 แสนตัน/ปี ส่วนปตท.ก็พร้อมที่จะประกาศหลักเกณฑ์ให้รายอื่นมาใช้คลังนำเข้าในเดือนเม.ย.นี้ อย่างไรก็ตามในเชิงธุรกิจ เห็นว่าเอกชนก็น่าจะนำเข้าด้วยตนเองดีที่สุด ซึ่งหากสร้างคลังนำเข้าเองก็ต้องใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี
สำหรับหลักเกณฑ์การนำเข้า LPG เสรีนั้น ผู้ที่ต้องการนำเข้าจะต้องทำแผนนำเข้า 3 เดือน และต้องแจ้งทุกวันที่ 20 ของเดือน เริ่ม 20 ม.ค.นี้ โดยไม่กำหนดปริมาณการนำเข้า แต่อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถนำเข้าได้ตามปริมาณที่แจ้ง จะมีความผิดตามพ.ร.บ.น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะมีทั้งบทปรับและบทลงโทษ ซึ่งในขณะนี้กำลังพิจารณาจะออกรายละเอียดด้วยว่า อาจจะกำหนดให้ไม่สามารถนำเข้าในล็อตต่อไปได้ภายใน 6-12 เดือน
ด้านนางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ (SGP) กล่าวว่า เอกชนได้ขอให้กรมธุรกิจพลังงานช่วยแก้ปัญหาหลักเกณฑ์ภาครัฐ เพื่อให้เอกชนนำเข้าและสามารถจำหน่าย LPG แบบ ship to shipได้ เพราะปัจจุบันมีเพียงปตท.รายเดียวที่ได้รับอนุมัติเรื่องนี้ โดยหากดำเนินการได้บริษัทก็พร้อมนำเข้าทันทีในปริมาณที่ประเทศขาดแคลนราว 2-3 หมื่นตัน/เดือน เพราะมีตลาดรองรับอยู่แล้ว ประกอบกับการเดินหน้าขยายตลาด และจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ก็มั่นใจว่าบริษัทจะมีปริมาณขายในปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่ไม่ต่ำกว่า 5% จากราว 2-3 ล้านตัน/ปี