TMB Analytics คาดราคายางปี 60 เพิ่ม 24% แต่เริ่มชะลอความร้อนแรงลง แนะรัฐคงคุมพื้นที่ปลูก

ข่าวเศรษฐกิจ Monday January 30, 2017 12:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินปี 60 ราคาเฉลี่ยยางแผ่นดิบ 60 บาท/กก.เพิ่มขึ้น 24% จากราคาเฉลี่ย 48.4 บาท/กก.ปีก่อน เหตุจากจีนใช้นโยบายลดภาษีรถยนต์ขนาดเล็กเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจากเดิม 10% เหลือเพียง 5% เริ่มเดือน ต.ค.58 สิ้นสุดเดือน ธ.ค.59 ทำให้ยอดขายรถยนต์ในจีนปีที่ผ่านมาทะลุ 24 ล้านคันเป็นครั้งแรก หรือเพิ่มขึ้น 15.1% จากปีก่อนหน้า เร่งการใช้ยางพาราเพื่อผลิตล้อยางรถยนต์ของโรงงานในจีนจนระดับสต็อกยางภาคเอกชนจีนเมืองชิงเต่าลดลงอย่างต่อเนื่องถึงระดับต่ำสุดประมาณ 47,000 ตัน ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา จากระดับสูงสุดที่ 230,000 ตันเมื่อต้นปี ทำให้ราคายางพาราซึ่งเคยขายได้ที่ราคาเฉลี่ย 35 บาท/กก.(3 โล 100) เมื่อเดือน ม.ค.59 ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้

สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ดันราคายางให้สูงอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยปี 59 เฉลี่ยอยู่ที่ 46 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 32% จากราคาช่วงต้นปี สำหรับในปี 60 TMB Analytics คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 55 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปีก่อน จึงเป็นแรงส่งให้ราคายางทะยานอย่างต่อเนื่อง

จากปัจจัยภายนอกประเทศที่เกื้อหนุนทั้งความต้องการยางจากจีนและราคาน้ำมัน ผนวกกับปัจจัยภายในประเทศ คือนโยบายควบคุมปริมาณยางพาราของภาครัฐที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องตลอดระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณผลผลิตยางของไทยอยู่ที่ระดับประมาณ 4.5 ล้านตันต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้และฝนตกต่อเนื่องภาคใต้ทำให้ปริมาณผลผลิตยางธรรมชาติลดลง 281,100 ตัน หรือ คิดเป็น 7.1% ของปริมาณผลผลิตทั้งประเทศทั้งปี ยิ่งเป็นปัจจัยเสริมระยะสั้นให้ราคายางพาราพุ่งต่อเนื่อง

โดยราคายางแผ่นดิบล่าสุดอยู่ที่ 87.3 บาท/กก. สถานการณ์ราคาขณะนี้เรียกว่าเป็น “หนังคนละม้วน" เมื่อเทียบกับสถานการณ์ต้นปีก่อนราคายางที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้รายได้เกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้เพิ่มขึ้นเกือบ 15,000 ล้านบาทจากปีก่อนและเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจภาคใต้ฟื้นตัวจากน้ำท่วมได้เร็วยิ่งขึ้น ผ่านการเร่งจับจ่ายใช้สอยของชาวสวนยาง ซึ่งเป็นฐานกำลังบริโภคที่สำคัญของเศรษฐกิจในพื้นที่เพื่อฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ให้กลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสให้ภาครัฐสามารถทยอยระบายสต็อกยางจากการใช้มาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางในอดีต ไม่ให้เป็นปัจจัยกดดันราคายางในอนาคตอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ราคายางที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา อาจเริ่มชะลอความร้อนแรงลงบ้าง เนื่องจากสต็อกยางเมืองชิงเต่าเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับต่ำสุดใกล้แตะ 100,000 ตันช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากการสิ้นสุดมาตรการลดภาษีรถยนต์ของจีนระยะแรก(ลดภาษีเหลือ 5%) และขณะนี้เป็นระยะที่สองของมาตรการดังกล่าว(ลดภาษีเหลือ 7.5%) และสิ้นสุดมาตรการระยะที่สองปลายปีนี้

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้ปรับขึ้นต่อเนื่องใกล้เคียงกับราคาประมาณการณ์ปีนี้แล้ว โอกาสที่ราคาน้ำมันดิบจะไปต่อจึงมีโอกาสน้อยลง ส่งผลให้ทิศทางราคายางขาขึ้นรอบนี้ไม่อาจสร้างประวัติศาสตร์ "ราคาสูงสุด" ใหม่ที่เคยทำไว้เมื่อกว่า 5 ปีก่อนได้แต่ก็ถือเป็นระดับที่น่าพึงพอใจที่ทำให้เกษตรกรและเศรษฐกิจภาคใต้สามารถขยายตัวได้อย่างมีเสถียรภาพ

ดังนั้นภาครัฐฯ จึงควรคงมาตรการควบคุมพื้นที่เพาะปลูกยางที่เคยดำเนินมาในอดีต ยกประสิทธิภาพและต้นทุนการปลูกยาง รวมถึงส่งสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยางปลายน้ำ เช่น โรงงานผลิตยางล้อรถยนต์ โรงงานถุงมือยาง ถุงยางอนามัย อุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการใช้วัตถุดิบยางพาราในประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อเสริมให้ราคายางในประเทศมีเสถียรภาพในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ