(เพิ่มเติม) สถาบันคุ้มครองเงินฝาก เผยไม่พบสัญญาณโยกเงินแม้ลดวงเงินคุ้มครอง-เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์สร้างความเชื่อมั่นผู้ฝากเงิน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 24, 2017 13:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ประธานกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เปิดเผยว่า ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงวงเงินคุ้มครองจาก 25 ล้านบาท เป็น 15 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2559 โดยรวมแล้วไม่มีสัญญาณการโยกย้ายเงินฝากออกจากระบบสถาบันการเงิน

ณ สิ้นปี 2559 สถาบันการเงินที่อยู่ในความคุ้มครองของสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีจำนวน 35 แห่ง โดยมีจำนวนผู้ฝากเงินที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองเงินฝากรวมทั้งสิ้นประมาณ 70.93 ล้านราย หรือคิดเป็นจำนวนเงินฝากในระบบกว่า 11.9 ล้านล้านบาท โดยเงินฝากที่อยู่ในวงเงินคุ้มครองไม่เกิน 15 ล้านบาท ต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน จำนวน 70.85 ล้านราย หรือคิดเป็น 99.90% ของผู้ฝากเงินทั้งระบบ

สำหรับฐานะของกองทุนคุ้มครองเงินฝากนั้น ณ สิ้นปี 2559 มีจำนวน 116,596 ล้านบาท โดยสถาบันลงทุนทั้งหมดในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก กฎกระทรวง และนโยบายการลงทุนที่กำหนดการลงทุนของสถาบันเน้นลำดับความสำคัญ คือ ความมั่นคง สภาพคล่อง และผลตอบแทน โดย ณ สิ้นปี 2559 มีการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย เงินฝากธนาคารแห่งประเทศไทย ตราสารหนี้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ออก และการฝากเงินกับธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น

โดยยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายที่จะเพิ่มเงินนำส่งที่ปัจจุบันเก็บในอัตรา 0.47% ประกอบด้วย เงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก 0.01% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท และอีก 0.46 % จะนำเงินไปชำระหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจากยอดหนี้ 3 ล้านล้านบาท ปัจจุบันเหลือ 9 แสนกว่าล้านบาท และคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 15 ปีหนี้ของกองทุนฟื้นฟูจะหมดไป และเมื่อถึงเวลานั้น สถาบันคุ้มครองเงินฝากอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การนำเงินส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากได้

"เราคงไม่ขึ้น ไปอย่างนี้อีกสักระยะ จนกว่าหนี้ตัวนี้จะหมด ซึ่งวันนี้เงินกองทุนฯ มีเพียงพอ ส่วนโอกาสเห็นเงินกองทุนถึง 2 แสนล้านคงอีกสักระยะ ซึ่งคิดว่าการจะขึ้นเงินนำส่งคงไม่มี แต่ถ้าหนี้หมด ค่อยว่ากันอีกที"นายกฤษฏา กล่าว

นายกฤษฎา กล่าวว่า ผลการดำเนินงานตามแผนงานของสถาบันฯ ปี 2559 ว่า จากมติ ครม.ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเงินฝากนั้น สคฝ.ได้ดำเนินการใน 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.การขยายระยะเวลาที่จะบังคับใช้วงเงินคุ้มครอง 1 ล้านบาท จากเดิมบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.59 เลื่อนเป็นตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.63 โดยมีการทยอยปรับวงเงินคุ้มครองเป็นลำดับขั้น ซึ่งช่วยสนับสนุนความมั่นใจและเสริมสร้างเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น และทำให้ผู้ฝากเงินมีระยะเวลาในการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่จะบริหารจัดการเงินฝาก และเงินลงทุนอย่างเหมาะสม

2. การแก้ไขพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 เกี่ยวกับขั้นตอนกระบวนการจ่ายคืนเงินฝากแก่ผู้ฝากเงิน โดยประเด็นสำคัญ คือ การกำหนดให้สถาบันจ่ายคืนเงินแก่ผู้ฝากทุกรายภายใน 30 วันนับแต่วันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต โดยที่ผู้ฝากไม่ต้องมายื่นคำขอรับเงิน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ฝากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กระบวนการแก้ไขพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว อยู่ระหว่างขั้นตอนการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป

นายกฤษฎา กล่าวว่า นอกจากการดำเนินการเพื่อรองรับและสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ สถาบันได้ดำเนินงานด้านที่สำคัญอื่นๆ สำเร็จเป็นอย่างดี กล่าวคือ 1. ด้านการชำระบัญชี เพื่อให้การเตรียมความพร้อมในการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ สถาบันฯ ได้พัฒนากระบวนการด้านการชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์อย่างครบถ้วน และพร้อมในการปฏิบัติงานตามพันธกิจ นอกจากนี้ สถาบันยังมีการทบทวนและปรับปรุงจัดทำแนวทางการปฏิบัติงานของสถาบันในช่วงที่สถาบันการเงินถูกควบคุม ช่วงการจ่ายคืน และช่วงการชำระบัญชีให้พร้อมใช้งานเมื่อเกิดเหตุการณ์

2. ด้านการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภายนอก สถาบันฯ ได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งหน่วยงานภายในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 สถาบันฯ ได้ลงนามในบันทึกความร่วมมือกับสถาบันประกันเงินฝากประเทศเกาหลีใต้ (KDIC) และต่ออายุบันทึกความร่วมมือกับกองทุนปกป้องผู้ฝากเงินสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

3. ด้านการพัฒนาบุคลากรและองค์กร สถาบันฯ ได้มีการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ครบถ้วนเพียงพอ มีการพัฒนาระบบการตรวจสอบให้ครบถ้วนตามมาตรฐานสากล เพื่อให้การบริหารงานของสถาบันเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและการบริหารจัดการที่ดี และมีการรักษาและพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมเพื่อปฏิบัติงานตามพันธกิจ

สำหรับยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานที่สำคัญของสถาบันปี 2560 นายกฤษฎา กล่าวว่า ในปีนี้สถาบันฯ มีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบจ่ายคืนผู้ฝากและชำระบัญชีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มช่องทางการสื่อสารประชาสัมพันธ์แก่ผู้ฝากเงิน สถาบันการเงิน และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในตาข่ายความมั่นคงทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

1.ด้านการจ่ายคืนผู้ฝาก สถาบันเดินหน้าพัฒนาระบบจ่ายคืนผู้ฝากให้ดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจัดให้มีการประมวลผลข้อมูลรายผู้ฝากเพื่อการจ่ายคืนของสถาบันการเงินทุกแห่งได้อย่างรวดเร็วและพัฒนาระบบปฏิบัติงานจ่ายคืนผู้ฝาก ซึ่งนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการจ่ายคืนแก่ผู้ฝากให้ แล้วเสร็จ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ฝากได้รับความสะดวกและรวดเร็วในการจ่ายคืน

2. ด้านการชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์ เพื่อให้การบูรณาการการชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปี 2560 สถาบันจะดำเนินการทบทวนและปรับปรุงนโยบายชำระบัญชี กรอบแนวทางที่จะนำไปจัดทำแผนและคู่มือปฏิบัติการในการชำระบัญชีและบริหารจัดการสินทรัพย์ รวมถึงกระบวนการในการทำงาน และคู่มือปฏิบัติงานด้านการชำระบัญชีและบริหารจัดการสินทรัพย์ ตั้งแต่สถาบันการเงินถูกควบคุม จนถึงสถาบันการเงินเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย นอกจากนี้ สถาบันจะจัดทำแนวทาง การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สำหรับงานด้านการชำระบัญชีและบริหารจัดการสินทรัพย์ เพื่อให้การดำเนินการชำระบัญชีและบริหารสินทรัพย์ของสถาบันการเงินที่ถูกปิดเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

3. ด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ สถาบันยังคงเดินหน้าเพิ่มระดับการรับรู้ของประชาชนที่มีต่อระบบคุ้มครองเงินฝากอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ เกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากที่เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

4. ด้านการพัฒนาบุคลากรและองค์กร สถาบันจะพัฒนาการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อป้องกันและปิดช่องโหว่ของ IT Architecture จากภัยคุกคามไซเบอร์ (Cyber-security risk assessment) รวมทั้งการมุ่งมั่นสร้างบุคลากรที่มีความสามารถ โดยปี 2560 สถาบันมุ่งเน้นพัฒนาบุคลากรและสร้างความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรให้เพิ่มขึ้นต่อไป

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2560 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6% (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.1 – 4.1%) จากแรงขับเคลื่อนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เอกชนมีความเชื่อมั่นในการลงทุน รวมทั้งแนวโน้มรายได้เกษตรกรที่ปรับตัวดีขึ้นซึ่ง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน

ส่วนเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินในปี 2559 ที่ผ่านมา พบว่า ระบบสถาบันการเงินยังคงมีเสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่ง ณ สิ้นปี 2559 สถาบันการเงินทั้งระบบมีฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่ง และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการจัดสรรกำไรเป็นสำคัญ สำหรับเงินฝาก ณ สิ้นปี 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 12.61 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.44% จากสิ้นปี 2558 และในปี 2559 สถาบันการเงินมีกำไรสุทธิจำนวน 1.99 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.60% จากปี 2558 เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนดอกเบี้ย

ทั้งนี้ หากวิเคราะห์สถาบันการเงินในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ก็มีเสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) และมีการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ไทยเพื่อรองรับสถานการณ์ด้านสภาพคล่องที่มีความรุนแรง (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ตามเกณฑ์ Basel III สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนดอยู่มาก

ด้านนายสาทร โตโพธิ์ไทย ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) กล่าวว่า เงินของกองทุนคุ้มครองเงินฝากได้มีการนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง 100% ทั้งในรูปแบบเงินฝากและลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน และตราสารหนี้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ออก ซึ่งเป็นการลงทุนตามระเบียบของกระทรวงการคลัง โดยคาดว่า ในปี 2560 จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 2,900 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ที่ได้รับผลตอบแทน 3,200 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ส่วนของเงินฝากในปีนี้ คาดว่าจะมีผู้ฝากเงินเพิ่มขึ้น 50,000 บัญชี จากปัจจุบันอยู่ที่ 69 ล้านบัญชี ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปกติ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ