(เพิ่มเติม) "สมคิด"นำทีมภาครัฐ-เอกชนร่วมคณะไปลาว 23-25 พ.ค.นี้ พร้อมเซ็น MoU 4 ฉบับยกระดับพัฒนา-ต่อยอด SME

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday May 23, 2017 17:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นำคณะหน่วยงานด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่าง 23-25 พ.ค.นี้ พร้อมด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ SMEs กับองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในทางธุรกิจของ สปป.ลาว

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ทั้ง 2 ประเทศจะให้ความร่วมมือ อาทิ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านศูนย์บริการ SMEs การส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป การส่งเสริมช่องทางการค้าการลงทุน การทำ Digital Marketing รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 พฤษภาคม 2560 ณ กรุงเวียงจันทน์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ล่าสุดได้เดินหน้าสานความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้ทั้งสองประเทศใช้ประโยชน์จากกันและกันโดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การหยิบใช้ความได้เปรียบของทั้ง 2 ประเทศที่เอื้อผลประโยชน์ระหว่างกัน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ การส่งเสริมการตลาดและช่องทางการซื้อขายสินค้าระหว่างกัน ทั้งยังมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือการพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการทำธุรกิจในระดับต่างๆในอนาคต

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จะลงนาม MOU กับ ภาคเอกชน 3 หน่วยงาน คือ สภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (The Lao National Chamber of Commerce and Industry - LNCCI) สมาคมนักธุรกิจหนุ่มแห่งชาติลาว (Young Entrepreneurs Association of Laos - YEAL) และ สมาคมนักธุรกิจแม่หญิงลาว (The Laos Business Women Association - LBWA) ซึ่งทั้ง 3 องค์กร ล้วนเป็นองค์กรภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในทางธุรกิจของ สปป.ลาว โดยสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจที่ สสว. ทำกับภาคเอกชนเน้นการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจและการส่งเสริมด้านการตลาดโดยผ่านช่องทางปกติ (Traditional) เช่น งานแสดงสินค้าในประเทศไทย และช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านเว็บไซต์ (E-commerce) ซึ่งเป็น platform ที่ สสว. ดำเนินการอยู่แล้วด้วย นอกจากนี้ จะได้มีการสนับสนุนความเข้มแข็งของศูนย์ให้บริการ SMEs สู่อาเซียน (ASEAN SME Service Center) ณ สภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว ซึ่งได้ก่อตั้งในช่วงต้นปีที่ผ่านมาภายหลังการศึกษาและหารือรูปแบบในการดำเนินการร่วมกับ สสว. ในขณะที่ SME Development Bank มีแผนที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินกับผู้ประกอบการไทยในเขตชายแดน โดยออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการไทยเพื่อช่วยในการเชื่อมโยงทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศได้ง่ายขึ้นด้วย โดยการลงนามความร่วมมือจำนวน 4 ฉบับในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างเวทีความร่วมมืออย่างเป็นทางการ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายให้มีความแนบแน่นมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม และ สสว. ยังได้ประสานกับสภาธุรกิจ ไทย – ลาว และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดให้มีเวทีในการพบปะหารือ (Business Meeting) ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการของลาวและหน่วยงานของไทยที่เดินทางไปร่วมการหารือ ในวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรม Landmark Mekong Riverside กรุงเวียงจันทน์ เพื่อหาแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริม SMEs และการขยายการค้าการลงทุน โดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจะได้นำกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ภายใต้ Young Entrepreneurs' Chamber of Commerce (YEC) เข้าร่วมกิจกรรมด้วย ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการ สปป.ลาว ที่มีศักยภาพเข้าร่วมการหารือประมาณ 120 คน โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สสว. และ SME Bank จะร่วมกันนำรูปแบบการส่งเสริมพัฒนา SMEs เช่น หลักสูตร SME Spring Up ของไทย หรือ การทำ Digital Marketing ไปนำเสนอกับกลุ่มผู้ประกอบการ สปป.ลาว เพื่อร่วมกันขยายตลาดสู่อาเซียนด้วย

"คาดว่า การลงนามบันทึกความเข้าใจ และการประชุมหารือดังกล่าวจะช่วยในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างไทยกับ สปป.ลาว โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs รุ่นใหม่ พร้อมทั้งจะได้ร่วมกันพัฒนากรอบความร่วมมือ และต่อยอดแนวทางที่ได้ดำเนินการไว้แล้วต่อไปด้วย"

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนจะกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศกลุ่ม CLMV ประเทศเพื่อนบ้านและเป็นเครือข่ายสำคัญทางเศรษฐกิจ รวมทั้งต่อยอดการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยครม.เศรษฐกิจ ได้เดินทางเยือนเมียนมาร์ในช่วงต้นปี 2560 ที่ผ่านมา รวมทั้งมีแผนจะเดินทางเยือนประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV นอกจาก สปป.ลาว ให้ครบทั้งหมดภายในปีนี้อีกด้วย

ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การเยือนครั้งนี้คณะฯ จะได้มีโอกาสเข้าพบนายสมดี ดวงดี รองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เพื่อหารือแนวทางการสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และกระชับความร่วมมือการค้าการลงทุนระหว่างภาครัฐของทั้งสองประเทศ โดยตั้งเป้าหมายบรรลุมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2564

ทั้งนี้ ไทยให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความร่วมมือในลักษณะของการสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับในส่วนของ สปป.ลาว นั้น จะได้มีการส่งเสริมและพัฒนาร่วมกันในหลายๆ ด้าน อาทิ การร่วมกันพิจารณาแนวทางการ จัดตั้งตลาดประชารัฐไทย – สปป.ลาว บริเวณแนวชายแดน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและส่งเสริมการค้าชายแดนของทั้งสองประเทศ การส่งเสริมความร่วมมือด้านเกษตรอินทรีย์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรและสร้างเครือข่ายพันธมิตรระหว่างกัน

นอกจากนั้นแล้ว ไทยยังจะได้มีการหารือกับสปป.ลาว เพื่อพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ร่วมกัน โดยจะได้มีการเชิญผู้แทน สปป.ลาว เข้าร่วมฝึกอบรม “การวางแผนและการจัดการขนส่งและโลจิสติกส์อย่างยั่งยืน" ที่ประเทศไทย นอกจากนั้นแล้ว เพื่อเป็นการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดน ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญในการช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุเป้าหมายการค้าที่ได้ตั้งไว้ ฝ่ายไทยจะได้มีการหารือกับฝ่ายสปป.ลาว ในการยกระดับด่านท้องถิ่นของ สปป.ลาว ที่อยู่ตรงข้ามกับจุดผ่านแดนของไทยให้เป็นด่านสากลอีกด้วย

“การร่วมคณะรองนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนสปป.ลาว ในครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้นำคณะนักธุรกิจรายสำคัญของไทยกว่า 30 ราย ร่วมเดินทางไปกับคณะฯ ในครั้งนี้ด้วย อาทิ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง สาธารณูปโภค การเงิน พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค ก่อสร้าง และการให้บริการทางการแพทย์ เป็นต้น โดยจะได้มีการ เข้าพบหารือกับผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่สำคัญของสปป.ลาว เพื่อให้ภาครัฐและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศได้มีโอกาสพบปะหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจและขยายการค้าการลงทุนร่วมกัน ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะช่วยเกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างกันต่อไปในอนาคต" นางอภิรดี กล่าว

สำหรับการค้ารวมไทย-สปป.ลาว ปี 2559 มีมูลค่าการค้า 5,871.22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.86 ซึ่งไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 2,117.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยไทยส่งออกไป สปป.ลาว คิดเป็นมูลค่า 3,994.17 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไทยนำเข้าจาก สปป.ลาว มูลค่า 1,877.05 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ กว่าร้อยละ 98 เป็นการค้าชายแดน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ