ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุดในคดีที่ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ยื่นฟ้อง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กรณีผิดสัญญาซื้อขายและจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) โดยไม่ยอมไม่ตรวจรับรถยนต์โดยสารฯ จำนวน 390 คัน โดยอ้างว่าสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นให้ ขสมก.รอกรมศุลกากรตรวจสอบเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของสินค้าก่อน อันถือเป็นการอ้างเหตุนอกสัญญาโดยไม่มีเหตุผลความจำเป็น ซึ่งบริษัทฯ ได้แจ้งให้ ขสมก.ตรวจรับมอบรถยนต์โดยสารดังกล่าวตามสัญญาแล้วหลายครั้ง แต่ยังคงเพิกเฉย
ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองชั้นต้น (ศาลปกครองกลาง) มีคำสั่งวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้ ขสมก.ดำเนินการตรวจรับรถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าชธรรมชาติ (NGV) ที่ออกจากอารักขาของศุลกากรแล้วไว้ชั่วคราว ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น และภายหลังการดำเนินการตรวจรับรถยนต์โดยสารตามข้อสัญญาอื่น ๆ แล้ว ให้ ขสมก.ปฏิบัติตามสัญญาฯ ต่อไป เนื่องจากศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า รถยนต์โดยสารที่บริษัทฯ ได้เตรียมส่งมอบให้แก่ ขสมก.นั้น แม้ว่ารถยนต์โดยสารดังกล่าวเจ้าพนักงานศุลกากรจะมีข้อสงสัยว่าไม่ใช่รถยนต์โดยสารที่ประกอบในประเทศมาเลเซีย แต่เป็นรถยนต์โดยสารที่ประกอบในประเทศจีนก็ไม่มีผลแตกต่างกันในสาระสำคัญที่จะทำให้สัญญาซื้อขายและจ้างซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าชธรรมชาติ (NGV) ไม่อาจใช้บังคับกันได้ และประเด็นดังกล่าวยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวน อีกทั้งเป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในส่วนเนื้อหาของคดี และในชั้นนี้ ขสมก.ก็มิได้ชี้แจงต่อศาลว่า รถยนต์โดยสารดังกล่าวมีคุณสมบัติหรือคุณลักษณะไม่ตรงตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา หรือไม่ตรงตามข้อกำหนดในสัญญาข้อใดที่เป็นสาระสำคัญ ดังนั้นการให้ ขสมก.ตรวจรับรถยนต์โดยสารไว้ เห็นว่า ไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ในทางตรงข้ามกลับจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า จึงมีเหตุสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาตามคำขอของบริษัทฯ ตามมาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งประกอบข้อ 77 แห่งระเบียบที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 และตามมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542