นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ปฏิเสธข้อกล่าวหาการนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศเข้ามาใช้เลี้ยงสัตว์ โดยไม่ยอมรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกร จนส่งผลให้ราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำ
ปัจจุบันสมาชิกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยได้ดำเนินตามมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลีของกระทรวงพาณิชย์อย่างเคร่งครัด โดยจะต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วนจึงจะมีสิทธิ์นำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศได้ 1 ส่วน ทำให้ตัวเลขการนำเข้าข้าวสาลีในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) ของปีนี้อยู่ที่ 0.48 ล้านตัน คาดว่าทั้งปีจะมีการนำเข้าข้าวสาลีไม่เกิน 1.5 ล้านตัน เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศมีเพียง 4.5 ล้านตัน เทียบเป็นอัตราส่วน 3:1 ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด
นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังถูกขอร้องให้คงราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ขั้นต่ำไว้ที่ 8 บาท/กิโลกรัมอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้มีกำไรและสามารถอยู่ได้ แต่กลับถูกป้ายสีว่านำเข้าข้าวสาลีมาเพื่อกดราคาเกษตรกร
"การนำเข้าข้าวสาลีถูกควบคุมโดยมาตรการของกระทรวงพาณิชย์อยู่แล้ว ที่ผ่านมาธุรกิจอาหารสัตว์ต้องดำเนินการปรับตัวรองรับกับนโยบายดังกล่าวมาโดยตลอด รวมถึงยังรับประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไว้ที่ 8 บาท/กิโลกรัม ในปี 2560 โรงงานอาหารสัตว์มีความต้องการใช้ข้าวโพดประมาณ 8.1 ล้านตัน ทำให้ยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าข้าวสาลีเพื่อเติมเต็มจำนวนที่ขาดเพื่อไม่ให้ธุรกิจหยุดชะงัก แต่จากมาตรการดังกล่าวทำให้อาหารสัตว์นำเข้าสาลีได้ไม่เกิน 1.5 ล้านตัน เมื่อรวมกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีเพียง 4.5 ล้านตันถือว่ายังไม่เพียงพอในการใช้ผลิตอาหารสัตว์" นายพรศิลป์ กล่าว
นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า ขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพื่อนบ้านมีต้นทุนการปลูกต่ำกว่าไทย จึงเป็นเหตุให้พ่อค้าพืชไร่ละเมิดมาตรการนำเข้าและลักลอบนำเข้าข้าวโพดเพื่อมาสวมสิทธิ์เป็นข้าวโพดไทยและขายให้กับโรงงานอาหารสัตว์ในราคาขั้นต่ำ 8 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นกำไรที่สูงมากของกลุ่มพ่อค้า
"การนำเข้าข้าวโพดผิดกฏหมายย่อมไม่มีเอกสารสิทธิแสดงพื้นที่ปลูกที่ถูกต้องได้ คนกลุ่มนี้จึงพยายามใส่ความการนำเข้าข้าวสาลีว่าทำให้ราคาข้าวโพดตกต่ำ ทั้งๆ ที่ราคาข้าวโพดมีการกำหนดให้สูงโดยกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งถ้าสำเร็จจะทำให้โรงงานอาหารสัตว์จำต้องรับซื้อข้าวโพดลักลอบของกลุ่มพ่อค้าในราคาสูง เนื่องจากไม่พอใช้ในกระบวนการผลิต นับเป็นเกมส์การค้าที่ไม่โปร่งใส และคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก จึงวอนขอภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้มงวดในเรื่องดังกล่าว" นายพรศิลป์ กล่าว
ทั้งนี้ สมาคมฯ ยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์เดิมที่ไม่สนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ผิดกฏหมาย รวมถึงนำเข้ามาอย่างผิดกฏหมายด้วย และจะดำเนินการไม่รับซื้อข้าวโพดที่ปลูกโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ทั้ง 100% ในเร็วๆนี้ ซึ่งได้ขอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยวางระบบการตรวจสอบย้อนกลับที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์แล้ว
"สมาคมฯ ยืนยันไม่สนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ผิดกฏหมาย และจะไม่รับซื้อข้าวโพดที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ตอนนี้ต้องขอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยในการตรวจสอบที่มาของข้าวโพด และขอสนับสนุนโครงการปลูกข้าวโพดหลังนาของกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งจะช่วยให้ปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีมากขึ้น โดยหากสามารถใช้ระบบ GAP เข้าไปจับด้วยได้ จะส่งผลให้ต้นทุนการปลูกลดลง ผลผลิตและคุณภาพข้าวโพดดีขึ้นอีกด้วย" นายพรศิลป์ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยได้ประชุมร่วมกับ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเห็นพ้องว่าการปลูกข้าวโพดหลังนาทดแทนพื้นที่นาปรังจะช่วยแก้ปัญหาข้าวโพดที่ขาดและช่วยแก้ปัญหาข้าวล้นตลาดไปในตัวด้วย ขณะเดียวกันยังช่วยกระจายผลผลิตไม่ให้กระจุกตัว ทำให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น โดยต้องทำไปพร้อมกับการลดพื้นที่ปลูกที่ผิดกฏหมายในช่วงต้นฝนด้วย ซึ่งในที่ประชุม สมาคมพ่อค้าพืชไร่ยอมรับต่อหน้า รมต.เกษตรฯ ว่ามีการลักลอบนำเข้าข้าวโพดกว่า 1 ล้านตันจริง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ในคราวที่ประชุมคณะทำงานวางแผนการผลิตและการตลาดวัตถุดิบอาหารสัตว์ครบวงจรกลางปี 2559 ที่ผ่านมา
ส่วนกรณีที่มีอดีตนักการเมืองออกมากล่าวถึงการระงับการนำเข้าข้าวสาลีนั้นเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน และกำลังทำร้ายเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ซึ่งหากต้องการช่วยเกษตรกรจริง ขอให้ร่วมมือกับรัฐเดินหน้าในสิ่งที่ถูกกฏหมายและเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรอย่างยั่งยืนดีกว่าช่วยกลุ่มพ่อค้าที่ลักลอบทำผิดกฏหมาย
"การนำเข้าข้าวสาลีอย่างถูกต้องไม่ควรถูกกล่าวหา และปล่อยให้การลักลอบนำเข้าข้าวโพดซึ่งเป็นสิ่งผิดกฏหมายลอยนวล ทั้งๆ ที่เป็นสาเหตุแท้จริงที่ทำให้ราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำ" นายพรศิลป์ กล่าว