นายกฯ สั่งศึกษาสร้างโมโนเรลแก้รถติด-มอบคมนาคมดูแลเชื่อมโยงระบบขนส่งทั้งระบบ ชี้ส่งผลค่าโดยสารถูกลง

ข่าวเศรษฐกิจ Friday August 11, 2017 12:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วง เตาปูน-บางซื่อ โดยระบุว่า เส้นทางส่วนเชื่อมต่อขยายถือเป็นหนึ่งในในการปฎิรูปประเทศ ด้านการลดความเหลื่อมล้ำและการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนของประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่มทุกด้าน โดยเฉพาะการทำให้ประชาชนมีรายได้เพียงพอ เพื่อให้สามารถใช้บริการขนส่งที่ทันสมัย

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ในอนาคตมีแนวคิดจะให้มีการสร้างรถไฟรางเดี่ยว หรือโมโนเรล ในแนวฝั่งตะวันตกและตะวันออก โดยเฉพาะในเส้นทางจราจรที่ติดขัด เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน พร้อมสั่งการให้กระทรวงคมนาคมเชื่อมต่อระบบขนส่งทั้งระบบ โดยเฉพาะทางรถไฟและรถโดยสารให้มีความต่อเนื่องและเป็นระเบียบ

พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า รัฐบาลจะตรวจสอบทุกโครงการอย่างโปร่งใสให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ เพื่อนำไปสู่การเชื่อมโยงทางกายภาพ และการไปมาหาสู่ของประชาชน ซึ่งถือเป็นการปฎิรูปด้านการขนส่งมวลชน ที่จะเป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยการเชื่อมโยงแต่ละเส้นทางจะต้องผนวกกันให้ได้ในปี 2563 นี้ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเดินทางของประชาชน และคาดว่าหากสามารถพัฒนาระบบขนส่งมวลชนได้แล้วเสร็จทั้งหมด ก็จะทำให้ราคาค่าโดยสารในอนาคตลดลงได้

โดยนายกรัฐมนตรี ยังฝากไปยังภาคเอกชนให้ช่วยลดราคาค่าบริการต่างๆ แม้จะทราบดีว่าภาคเอกชนจะต้องดำเนินธุรกิจให้ได้ผลกำไร แต่อยากให้นึกถึงประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านที่จะทำให้ประเทศเกิดการพัฒนา และผลประโยชน์ก็จะกลับมาสู่ทุกภาคส่วนรวมถึงภาคเอกชนเองด้วย รวมทั้งฝากให้เตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุ หากเกิดเหตุขัดข้องระหว่างวัน เพื่อให้การดูแลและช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และต้องไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ส่วนแนวคิดการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าในอนาคตนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในขณะนี้ยังคงราคาเดิม แต่ในอนาคตถ้ามีการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าครบทั้งระบบ และภาคเอกชนมีกำไรที่เพียงพอ ก็น่าจะปรับลดราคาค่าโดยสารลงได้ ซึ่งคงอยู่ในขั้นตอนการเจรจาในสัญญาต่อไป

ทั้งนี้ ขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจการเร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาลที่เป็นไปเพื่อการแก้ปัญหาทั้งในอดีต และวางแนวทางพัฒนาในอนาคต ซึ่งบางครั้งจะต้องไม่มองแค่มิติของกำไรหรือขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองถึงคุณค่าและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการสร้างและกระจายรายได้ รวมถึงการขยายเมืองใหม่ไปทั่วประเทศ

ส่วนความคืบหน้าในโครงการรถไฟความเร็วสูงนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาความล่าช้าที่เกิดขึ้นเกิดจากการตกลงในข้อสัญญาที่ใช้เวลากว่า 3 ปี ซึ่งบางเรื่องเป็นเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศ และการลงทุนร่วม ซึ่งต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ยืนยันว่าจะดำเนินโครงการให้เร็วที่สุด และในขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการโครงการในขั้นตอนการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับไทย

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังอีก 29 ประเทศ ซึ่งไทยถือเป็นจุดสำคัญที่หลายประเทศต้องใช้เส้นทาง จึงเป็นเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องมีโครงการนี้ และในวันข้างหน้าก็มีโอกาสที่จะใช้เส้นทางดังกล่าวเดินทางไปถึงยุโรปได้ อีกทั้งจะช่วยร่นระยะเวลาการเดินทางในประเทศ และมีส่วนช่วยในการขยายเมือง ขยายงาน ขยายธุรกิจ และสร้างรายได้ให้กับประชาชนอีกด้วย

สำหรับการเปลี่ยนแปลงสายรถเมล์ใหม่ ในเส้นทางปฏิรูป 269 เส้นทาง ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทำให้ประชาชนจดจำยากและอาจไม่ช่วยแก้ไขปัญหาจราจรได้อย่างแท้จริงนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ติดตามเรื่องนี้อยู่ ซึ่งกระทรวงคมนาคมชี้แจงแล้วว่าเป็นการทดลองปรับเปลี่ยนในระยะแรก ซึ่งหากมีปัญหาก็จะมีการแก้ไขปรับปรุงต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะพยายามเร่งจัดหารถเมล์ใหม่ให้เร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหารถเมล์เก่าที่มีอายุการใช้งานมานาน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการหาวิธีการ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการดูแลผู้มีรายได้น้อยว่า รัฐบาลพยายามที่จะหาแนวทางให้ความช่วยเหลือโดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งอาจจะนำไปรวมอยู่ในบัตรสวัสดิการของผู้มีรายได้น้อย แต่ไม่ใช่แนวทางแบบการหาเสียงที่มีการให้เงินกับประชาชน อย่างไรก็ดี มองว่าผู้มีรายได้น้อยเองก็ต้องพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองด้วย ซึ่งการที่รัฐบาลเข้ามาจัดระเบียบในบางเรื่องนั้นยืนยันว่าเป็นการเข้ามาเพื่อแก้ปัญหา และไม่ได้ต้องการให้ประชาชนเดือดร้อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ