ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.10 ทรงตัว ตลาดรอดูผลการประชุม กนง.ช่วงกลางสัปดาห์หน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 22, 2017 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 33.10 บาท/ดอลลาร์ จากตอนเช้าที่ เปิดตลาดที่ระดับ 33.11 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 33.10-33.12 บาท/ดอลลาร์

"ค่อนข้างทรงตัว คืนนี้จะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดออกมาปาฐกถา ต้องรอดูว่าจะมีออกมาแสดงมุมมองความเห็นต่อ การขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ นอกจากนี้ตลาดยังรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยในวันที่ 27 ก.ย." นัก บริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน คาดว่าทิศทางค่าเงินบาทน่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบเดิม 33.05-33.15 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 111.94 เยน/ดอลลาร์ จากตอนเช้าที่อยู่ที่ระดับ 112.14 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1988 ดอลลาร์/ยูโร จากตอนเช้าที่อยู่ที่ระดับ 1.1953 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,659.05 จุด ลดลง 11.44 จุด, -0.68% มูลค่าการซื้อขาย 64,498.84 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,971.91 ลบ.(SET+MAI)
  • ธนาคาร ซี ไอเอ็มบี ไทย คาดว่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า (25-29 ก.ย.) จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.90-
33.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเยอรมนีจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 24 ก.ย.60 ซึ่งคาดว่าความชัดเจนเรื่องการเมือง
ในเยอรมนีจะเป็นปัจจัยหนุนเงินยูโรให้มีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 27 ก.ย. 60 จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายที่ระดับ 1.50% ต่อเนื่องในการประชุม กนง.รอบที่ 6 ของปี 60 ซึ่ง กนง. คงจะพิจารณาน้ำหนักจากหลายๆปัจจัยแวดล้อม
ทางเศรษฐกิจที่อาจเข้ามากระทบกับภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ท่ามกลางสถานการณ์ของตลาดการเงินโลกที่
กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลง
  • ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากการที่ตัวเลขส่งออกในเดือนส.ค. ขยายตัวได้ถึง 13.2% นั้น น่าจะเป็นสัญญาณ
ที่ดีที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเป็นบวกได้เพิ่มขึ้น และน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และ
หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการปรับประมาณการตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP)ไทยปีนี้
  • -ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากตัวเลขการส่งออกล่าสุดเดือนส.ค.60 ที่ขยายตัวสูงเกินคาดที่ 13.2% สูงสุดใน
รอบ 55 เดือน ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวที่ 8.9% และหากมองไปในช่วงเดือนที่เหลือของ
ปี 2560 แรงส่งจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง วัฏจักรขาขึ้นของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การฟื้นตัวของการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหาร
รวมถึงหากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังรักษาระดับใกล้เคียงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้คาดว่าจะเป็นปัจจัยช่วยหนุนให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยตลอด
ทั้งปี 2560 ขยายตัวได้ถึง 7.0% (คาดการณ์ปัจจุบันที่ 3.8%)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งปี 2560 จะอยู่ที่ประมาณ
4.0% ตามที่คาด โดยมีกลไกขับเคลื่อนหลักจากสินเชื่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจรายใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากการส่งออกและการลงทุน
ภาครัฐ ขณะที่อาจยังไม่เห็นการกระจายตัวลงไปยังสินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยอย่างเต็มที่
  • รมว.คลัง คาดว่าจะสามารถเสนอขายหน่วยลงทุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand
Futures Fund:TFF) ได้อย่างช้าสุดภายในไตรมาส 1/61 เนื่องจากมีขั้นตอนในการดำเนินการมาก พร้อมให้สำนักงานคณะ
กรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ไปพิจารณาระเบียบให้บริษัทประกันชีวิต สามารถเข้าลงทุนในกอง
ทุน TFF ได้
  • สำนักงานสถิติฝรั่งเศส (Insee) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาสสองของปีนี้
ขยายตัว 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเท่ากับตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 และสอดคล้องกับการคาดการณ์ โดยได้รับปัจจัย
หนุนจากตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภค
  • นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับความคืบหน้าในการเจรจาว่าด้วยการที่อังกฤษ
ได้ตัดสินใจถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันนี้ (22 ก.ย.) ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี โดยเธอ
หวังว่าจะสามารถโน้มน้าวสหภาพยุโรป (EU) ให้ยอมตกลงในการเจรจารอบนี้

ทั้งนี้ เป็นที่น่าจับตาว่า นางเมย์จะสามารถยื่นข้อเสนอที่มีน้ำหนักจะให้ทำคณะผู้แทนเจรจาจาก EU ยอมตกลงหรือไม่ โดยที่ต้องไม่ทำให้ชาวอังกฤษที่ไม่สนับสนุน EU ขุ่นเคืองใจ เพื่อรักษาฐานเสียงของเธอเองไว้ด้วยเช่นกัน

  • นายโยชิฮิเดะ สึกะ หัวหน้าเลขานุการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประกาศแผนการประชุมสภาไดเอ็ทนัดพิเศษอย่างเป็นทาง
การวันที่ 28 ก.ย.นี้ ซึ่งคาดว่า นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น จะใช้โอกาสดังกล่าวในการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดการ
เลือกตั้ง
  • สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของฮ่องกง จากระดับ AAA ลงสู่ระดับ

AA+ ในวันนี้ หลังจาก S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของจีนเมื่อวานนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ