(เพิ่มเติม) กลุ่ม PTT คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบปี 61 อยู่ที่ 52-57 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday October 31, 2017 17:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ในฐานะประธานกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงทิศทางและแนวโน้มสถานการณ์น้ำมันของโลกในปี 61 ว่า คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ในระดับ 52-57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยความต้องการน้ำมันดิบจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับราว 1.4-1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอยู่ที่ 3.7% และจากการปรับลดกำลังการผลิตตามข้อตกลงของผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และ Non-OPEC ขณะที่สหรัฐฯ กลับมาผลิต Shale Oil เพิ่มขึ้น แต่ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการกระจายการผลิตไปยังแหล่งใหม่ ๆ ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกรอบแคบ ๆ

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม อาทิ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในยุคดิจิตอล นโยบายการเมือง เศรษฐกิจในซีกโลกตะวันออก และตะวันตกที่ยังคงมีความผันผวน รวมถึงทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตจะเน้นการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าและพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งการพัฒนานี้จะก้าวไกลได้เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ โครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตและส่งถ่ายไฟฟ้า การพัฒนาเทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ ในการผลิตรถยนต์

อนึ่ง วันนี้ ทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) หรือ PRISM (Petrochemicals and Refining Integrated Synergy Management) ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ของส.อ.ท. จัดงานสัมมนา 2017 The Annual Petroleum Outlook Forum เพื่อนำเสนอข้อมูลและมุมมองเกี่ยวกับราคาน้ำมัน รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบกับราคาน้ำมัน ตลอดจนแนวโน้มของทิศทางน้ำมันในอนาคต อีกทั้งยังมีการเสวนาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและดิจิทัล เพื่อปลุกความคิดให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ในหัวข้อ “Thailand Energy Moving with Digitization พลังงานไทย...ก้าวไกลด้วยดิจิทัล"

นางสาวปิยธิดา พลอยประดิษฐ์ นักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันในปี 2561 ยังคงมีปัจจัยมาจากประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยุโรป จีน และอินเดีย ซึ่งเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเติบโตตามด้วย ขณะเดียวกันในส่วนของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ทยอยเข้ามามากขึ้น โดยในปี 2559 มีรถยนต์ EV จำนวน2 ล้านคัน เทียบกับรถยนต์เชื้อเพลิง 1,000 ล้านคัน คิดเป็น 0.1% ของตลาดทั้งหมด

นอกจากนี้หลายประเทศยังคงให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน กล่าวสรุปคือความต้องการใช้น้ำมันที่เติบโตขึ้น มาจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโต 3.7% รถยนต์ EV ที่ยังมีจำกัด และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันปี 2561 เติบโต 1.4-1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน

นางสาวนรินทร์ อภิสุทธิไมตรี นักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันจากบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) กล่าวว่า แนวโน้มกำลังการผลิตน้ำมันดิบในปี 2561 คาดว่าจะเติบโต 1.7-2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ของ PTT กล่าวว่า ราคาน้ำมันในปี 2561 คาดว่าจะอยู่ราว 55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับปีนี้ที่อยู่ระดับราว 50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ความต้องการใช้ยังคงเติบโต 1-2% เทียบกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)ที่ 3%

สำหรับเงินลงทุนในธุรกิจน้ำมันของ ปตท. ใช้หลายพันล้านบาทต่อปี เพื่อลงทุนขยายคลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งในปี 2561 ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสถานีบริการน้ำมันอีก 150-180 แห่ง แต่ก็มีสถานีบริการที่ปิดไป 40-50 แห่ง ดังนั้นในปีหน้า ปตท.จะมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 1,600 แห่งทั่งประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ