ภาวะตลาดเงินบาท: ปิดตลาด 33.01 แข็งค่าต่อ หากหลุด 33 แข็งค่าสุดในเกือบ 3 ปี กรอบพรุ่งนี้ 32.80-33.08

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 15, 2017 17:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 33.01 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจาก ช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 33.04 บาท/ดอลลาร์

เงินบาทวันนี้ยังคงแข็งค่าต่อเนื่องจากที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ที่สำคัญคือ เงินยูโรที่แข็งค่าขึ้น เพราะตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวของฝั่งยูโรโซนช่วงนี้ออกมาค่อนข้างดี อย่างไรก็ดี พรุ่งนี้คงต้องติดตามว่าเงินบาทจะแข็งค่าหลุดระดับ ที่ 33.00 บาท/ดอลลาร์ไปได้หรือไม่ เพราะหากหลุดลงไปก็จะถือว่าเป็นการแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 3 ปี นับตั้งแต่เดือน ม.ค.58

"คงต้องดูว่าพรุ่งนี้ บาทจะยังแข็งค่าต่อหรือไม่ เพราะถ้าหลุด 33 ลงไป ก็จะเป็นการแข็งค่าสุดนับตั้งแต่ ม.ค.58" นัก
บริหารเงิน ระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.80-33.08 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • ช่วงเย็นนี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 112.69 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 113.21 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1836 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1792 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,690.26 จุด ลดลง 12.37 จุด (-0.73%) มูลค่าการซื้อขาย 60,963 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,485.01 ล้านบาท(SET+MAI)
  • นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มองว่า ปี 2561 ถือเป็นปีแห่งโอกาสของประเทศ เนื่องจากเชื่อมั่นว่า
หากทุกภาคส่วนร่วมมือกับรักษาระดับการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีหน้าให้อยู่ที่ระดับ 4-5% ก็จะเห็นเศรษฐกิจที่สด
ใสกว่าปีนี้ โอกาสสำหรับประเทศไทยในปีหน้าจะต้องเร่งดำเนินการใน 3 ส่วน คือ 1.การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย 2.การเดินหน้า
ในลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ และ 3.การเตรียมความพร้อมเข้าสู่โลกยุคดิจิทัล

ขณะที่การประเมินแนวโน้ม GDP ในปี 60 หลายหน่วยงานมีความเห็นสอดคล้องกันว่ามีโอกาสที่ GDP ของไทยในปีนี้จะ เติบโตได้ 3.8%

  • ในปีงบประมาณ 2561 สคร.ได้รับเป้าหมายการนำส่งรายได้ตามเอกสารงบประมาณ 2561 จำนวน 137,000 ล้าน
บาท โดยล่าสุดในเดือนตุลาคม 2560 สคร.จัดเก็บรายได้แผ่นดินได้จำนวน 34,546 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 4,444 ล้านบาท
หรือคิดเป็น 25% ซึ่งมีส่วนรักษาเสถียรภาพการคลังของประเทศ

โดยรัฐวิสาหกิจ 5 อันดับแรกที่นำส่งรายได้สูงสุดในเดือนต.ค.60 ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 13,384 ล้านบาท, ธนาคารออมสิน 5,739 ล้านบาท, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 5,693 ล้านบาท, การไฟฟ้านครหลวง 2,510 ล้านบาท และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2,473 ล้านบาท

  • ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยว่า หนี้สินภาคครัวเรือนของสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อ
เนื่อง โดยอัตราการผิดนัดชำระหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ปีนี้ มาอยู่ที่ระดับ ทั้งนี้ หนี้สินโดยรวมของภาคครัวเรือนสหรัฐในช่วง
ไตรมาส 3 พุ่งขึ้น 1.16 แสนล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาส 2 แตะที่ระดับ 12.96 ล้านล้านดอลลาร์ โดยหนี้สินที่
เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นหนี้เงินกู้จำนอง หนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา หนี้เงินกู้ซื้อรถยนต์ และหนี้บัตรเครดิต ส่วนอัตราการผิดนัดชำระหนี้ในไตร
มาส 3 เพิ่มขึ้นแตะระดับ 4.9% จากไตรมาส 2 ที่ระดับ 4.8%
  • นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing
Index) เดือนพ.ย.จากเฟดนิวยอร์ก, ยอดค้าปลีกเดือนต.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาค
ธุรกิจเดือนก.ย., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน
ต.ค. และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาก่อสร้างเดือนต.ค.

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ