"อนุสรณ์"เตือนไทยรับมือการย้ายฐานการผลิตและเงินลงทุนไหลออก แนะติดตามความคืบหน้าข้อตกลงทางการค้า CPTPP

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday February 25, 2018 18:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า สถานการณ์การย้ายโรงงานการผลิตบางส่วนกลับประเทศของบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ญี่ปุ่นจะเกิดขึ้นทั่วทั้งเอเชียตะวันออกรวมทั้งไทยก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ประเทศไทยอาจจะมีสถานการณ์ที่ไม่ดีกว่าบางประเทศนักเพราะเงินบาทแข็งค่ากว่าเงินสกุลเอเชียอื่นๆ

ขณะเดียวกันก็มีความไม่ชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งและล่าสุดก็ไม่สามารถสรรหา กกต. ได้ สร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดการไหลออกของการย้ายฐานการผลิตและเม็ดเงินลงทุนมากขึ้นอีกด้วย เงินเยนที่อ่อนค่าลง ต้นทุนการผลิตลดต่ำลงจากเทคโนโลยีหุ่นยนต์และสมองกลอัจฉริยะ AI ทำให้โรงงานผลิตนอกประเทศญี่ปุ่นของบรรษัทขนาดใหญ่บางส่วนไม่คุ้มทุนการผลิตในประเทศญี่ปุ่นถูกกว่าโดยเฉพาะในบริษัที่มีการลงทุนด้วยเทคโนโลยหุ่นยนต์และสมองกลอัจฉริยะอย่างมากและมีระบบทำงานเครื่องจักรอัตโนมัติที่ทำงานแทนแรงงานคนได้ ประกอบกับค่าแรงของประเทศในเอเชียรวมทั้งไทยก็ปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ บางประเทศขาดแคลนแรงงานมีทักษะ ซึ่งไทยเองก็มีปัญหาขาดแคลนช่วงเทคนิคหลายสาขาการที่เงินเยนอ่อนค่าลงและอัตราเงินเฟ้อต่ำในญี่ปุ่น ประกอบกับประเทศเอเชียบางประเทศรวมทั้งไทยมีค่าเงินสกุลท้องถิ่นที่แข็งค่าทำให้สินค้าที่ผลิตในประเทศดังกล่าวมีขีดความสามารถทางด้านราคาที่ล ดลง บริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่อย่าง Canon Pioneer Honda Nissan Toyota Casio ได้วางแผนทยอยย้ายโรงงานผลิตบางส่วนกลับญี่ปุ่นและการย้ายฐานการผลิตกลับนี้เกิดขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยมีการคาดการณ์ว่า การใช้หุ่นยนต์และ AI ในการผลิตนั้นช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและทำให้ต้นทุนทางด้านแรงงานลดลงอย่างชัดเจนและผลผลิตรวมทั้งผลิตภาพเพิ่มสูงขึ้น

ตนมองว่า กระแสการไหลย้อนกลับของการลงทุนจากทุนข้ามชาติจะไม่เกิดเฉพาะกรณีญี่ปุ่นเท่านั้นแต่อาจเกิดขึ้นกับประเทศที่มีการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีการผลิตมากอย่าง เกาหลีใต้ ไต้หวัน และ ยุโรปบางประเทศอีกด้วย ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมในการรับมือพลวัตการเคลื่อนย้ายของการลงทุนข้ามชาติ ดังกล่าวให้ดีด้วย ส่วน SMEs ญี่ปุ่นอาจจะเข้ามาลงทุนใน EEC ของไทยเพิ่มขึ้น นโยบายการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯซึ่งจะลดภาษีทั้งนิติบุคคล(ลดจาก 35% เหลือ 21%) และบุคคลธรรมดาจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและน่าจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวในตลาดการเงินโลก

ในส่วนของการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นอาจไม่มากอย่างที่คาดการณ์ไว้จากการตีกรอบไม่ให้ขาดดุลการคลังส่วนเพิ่มจากมาตรการลดภาษีเกิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯและการขาดดุลการคลังนี้น้อยกว่าการลดภาษีครั้งใหญ่ในรอบก่อน นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจได้เพียง 0.1-0.3% ต่อปี ส่วนกฎหมายภาษีการนำกำไรนอกประเทศกลับเข้าประเทศด้วยอัตราพิเศษครั้งเดียว จะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับสหรัฐฯ ขณะนี้มีเม็ดเงินของบรรษัทสัญชาติสหรัฐฯนอกประเทศประมาณ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ การลดภาษีนิติบุคคลทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นและมีเงินมากขึ้นในการขยายกิจการและการจ้างงาน การใช้มาตรการภาษีจูงใจให้กลุ่มทุนสหรัฐฯโอนเงินกลับประเทศน่าจะช่วยให้ราคาหุ้นในตลาดดาวโจนส์คึกคักขึ้นน่าจะมีการจ่ายเงินปันผลและซื้อคืนหุ้นมากขึ้น

พร้อมกันนี้ อยากให้ทางการไทยติดตามความคืบหน้าข้อตกลงทางการค้า CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) ซึ่งเวลานี้ "ไทย" ตกขบวนไปแล้วและไม่ได้เป็นสมาชิก ทำให้เราไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีการค้าระหว่างประเทศจากกลุ่มประเทศ CPTPP โดยมูลค่าส่งออกจากไทยไปยังประเทศสมาชิก CTPTT อยู่ที่ประมาณ 20% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด CPTPP นั้นมีสมาชิกทั้งหมด (ไม่รวมสหรัฐอเมริกา) ของ TPP เดิม 11 ประเทศ โดยประเทศเหล่านี้เห็นชอบกับเนื้อหาข้อตกลง TPP เดิมยกเว้นเฉพาะในส่วนที่เป็นเรื่องที่ผลักดันโดยสหรัฐฯ เช่น เรื่องสิทธิแรงงาน เรื่องการขยายระยะเวลาการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น หากไทยไม่ติดตามความคืบหน้าและผลกระทบจากข้อตกลงดังกล่าวให้ดี เราอาจสูญเสียโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ