ครม.ไฟเขียวโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะ 2 ของธนาคารออมสิน วงเงิน 1 หมื่นลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday March 20, 2018 16:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน วงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน 10,000 ล้านบาท พร้อมอนุมัติวงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการดังกล่าวเป็นวงเงินงบประมาณสูงสุดไม่เกิน 4,000 ล้านบาท โดยมอบหมายให้ธนาคารออมสินทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นรายปีตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป

ทั้งนี้ โครงการสินเชื่อรายย่อยฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญดังนี้ จะอนุมัติให้กู้ไม่เกินรายละ 50,000 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี โดยจะคิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกิน 0.85% ต่อเดือน มีบุคคลค้ำประกันอย่างน้อย 1 คน และ/หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทั้งนี้จะพิจารณาการให้สินเชื่อจากความสามารถในการชำระหนี้จากรายได้และค่าใช้จ่ายรวมของบุคคลในครอบครัวเป็นหลัก โดยสามารถตรวจสอบประวัติการชำระหนี้จากเครดิตบูโรได้ แต่จะไม่นำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาสินเชื่อ และสามารถขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 มี.ค.63

นายณัฐพร กล่าวว่า ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสินนี้ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ประมาณ 2 แสนราย โดยไม่ต้องไปใช้บริการสินเชื่อนอกระบบ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบที่มีภาระดอกเบี้ยสูง และในบางกรณีที่มีการติดตามทวงหนี้โดยใช้ความรุนแรง ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมา

ด้านน.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สินเชื่อแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วไปที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน เป็นต้น โดยต้องไม่เป็นการ Refinance หนี้ในระบบ

กลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชนที่มีการประกอบอาชีพและมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน หลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้จากรายได้และค่าใช้จ่ายรวมของบุคคลในครอบครัวเป็นหลัก โดยสามารถตรวจสอบประวัติการชำระหนี้จากเครดิตบูโรได้ แต่จะไม่นำมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาสินเชื่อ

อย่างไรก็ดี โดยที่สินเชื่อลักษณะดังกล่าวมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น รัฐบาลจึงกำหนดเงื่อนไขในการชดเชยสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Loan : NPL) ที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการนี้ให้ธนาคารออมสินไว้ไม่เกินร้อยละ 40 คิดเป็นวงเงินประมาณไม่เกิน 4,000 ล้านบาท หรือตามที่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ยังมีสินเชื่อและเงื่อนไขในการชดเชย NPL ในลักษณะเดียวกัน ได้แก่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ระยะที่ 2 ของ ธ.ก.ส. วงเงิน 10,000 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 ดังนั้น ผู้มีรายได้น้อยที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉินสามารถขอสินเชื่อได้ทั้งที่ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน

น.ส.กุลยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวข้างต้นจะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วไปสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ ในกรณีมีความจำเป็น ต้องใช้จ่ายฉุกเฉินเร่งด่วน โดยไม่ต้องไปใช้บริการหนี้นอกระบบ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่สูง สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ส่งผลให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้เข้าร่วมโครงการให้ดีขึ้นประมาณ 200,000 ราย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ