ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 32.04 กลับมาแข็งค่าจากช่วงเช้า ระหว่างวันเคลื่อนไหวค่อนข้างกว้าง มองกรอบพรุ่งนี้ 31.95-32.10

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 24, 2018 17:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.04 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจาก เปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 32.12 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับตลาดเกิดใหม่หลังเงินยูโรกลับมาแข็งค่า ระหว่างวันเงิน บาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.04-32.15 บาท/ดอลลาร์

"บาทเคลื่อนไหวค่อนข้างกว้าง โดยค่าเงินตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัวแข็งค่าตามยูโรที่มีแรงซื้อกลับเข้ามา ขณะที่มี flow ไหล ออกจากตลาดหุ้น แต่ก็มีไหลเข้าตลาดพันธบัตร" นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน คาดวันพรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.95-32.10 บาท/ดอลลาร์

"พรุ่งนี้บาทมีโอกาสแข็งค่าหลุด 32.00 ตามเงินยูโร หลังแรงซื้อดอลลาร์เริ่มแผ่วลง" นักบริหารเงิน กล่าว
  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ 109.71 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 109.52 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ 1.1728 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1696 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,732.51 จุด ลดลง 21.09 จุด, -1.20% มูลค่าการซื้อขาย 64,406.97 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 4,681.74 ล้านบาท(SET+MAI)
  • กระทรวงการคลังเตรียมทบทวนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2561 ใหม่ โดยคาดว่าจะขยายตัว
เพิ่มเป็น 4.5% สูงสุดในรอบ 6 ปี จากปัจจุบันคาดขยายตัวที่ 4.2% หลังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง
ชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกขยายตัว 4.8% เติบโตมากกว่าคาดการณ์
  • ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นสิ่งที่ต้องจับตา
ต่อไป เนื่องจากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นได้อีก ขณะที่ประเทศไทยมีความต้องการใช้น้ำมันค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับระดับ
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นเมื่อน้ำมันมีราคาสูงขึ้นย่อมจะส่งผลกระทบต่อการบริโภค รวมทั้งต้นทุนธุรกิจ และ
ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่จะต้องสูงขึ้นด้วย
  • ภาครัฐพร้อมจะประกาศเชิญชวนนักลงทุนภาคเอกชนที่มีศักยภาพ ทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมการประกวดราคา
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา) แล้วในวันที่ 30 พ.ค.61 โดยมีเป้าหมายจะ
ดำเนินการคัดเลือกผู้ลงทุนให้ได้ภายในปี 61
  • กระทรวงการคลัง เผยฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ
2561 (ต.ค.60-เม.ย.61) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้นจำนวน 1,287,270 ล้านบาท ขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น
จำนวน 1,844,576 ล้านบาท รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 334,818 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน
เมษายน 2561 มีจำนวนทั้งสิ้น 277,869 ล้านบาท
  • กระทรวงการคลัง เผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 (ต.ค.60-เม.
ย.61) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 1,293,908 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 60,598 ล้านบาท
หรือ 4.9% เนื่องจากการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น สูงกว่าประมาณการ 30,444 และ
23,133 ล้านบาท หรือ 36.8% และ 21.5% ตามลำดับ โดยภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
ภาษียาสูบ และภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เผยหากมีการใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
สหรัฐอเมริกาต้องมาก่อน รวมทั้งนโยบายการตรวจสอบรถยนต์ล่าสุดที่หากมีผลบังคับใช้เมื่อใด มาตรการเหล่านี้ จะทำให้ตลาดทั่วโลก
ตกอยู่ในภาวะที่ปั่นป่วน
  • สภาผู้แทนราษฎรญี่ปุ่นมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายเพื่อการดำเนินมาตรการต่างๆ ภายในประเทศให้สอดคล้องกับสนธิ
สัญญาข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนเกษตรกรให้มีความสามารถในการแข่งขันใน
ตลาดเพิ่มมากขึ้น
  • กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (MTI) คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของ
สิงคโปร์ในปี 2561 จะขยายตัวราว 2.5-3.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1.5-3.5%
  • สถาบัน IMD ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เปิดเผยรายงานการจัดอันดับประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงที่
สุดในโลกประจำปีนี้ ซึ่งผลปรากฏว่า สหรัฐอเมริกากลับมาทวงบัลลังก์อันดับ 1 อีกครั้ง โดยได้ปัจจัยหนุนจากความแข็งแกร่งของ
สภาวะเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ