นายวิรัตน์ ตันเดชานุรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันสถาบันสิ่งทอ คาดการณ์ว่า การส่งออกอุตสาหกรรมสิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่ม ปี52 จะติดลบประมาณ 6-7% จากมูลค่าการส่งออกรวมปีที่ผ่านมา 7,200 ล้านดอลลาร์ แต่แนวโน้มการส่งเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากในช่วงครึ่งปีแรก ที่การส่งออกอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มติดลบถึง 14% คิดเป็นมูลค่า 3,500 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ขณะนี้ เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจากผู้บริโภครายใหญ่ ทำให้ผู้ผลิตเครื่องนุ่มห่มเริ่มสั่งออร์เดอร์ทั้งผ้าผืนและเสื้อผ้าจากไทยเพื่อส่งออกมากขึ้น นอกจากนี้ การที่ บริษัท วีเอฟ คอร์ปอร์เรชั่น ได้ย้ายฐานการผลิตบางส่วน จากฮ่องกงมาไทย ตั้งแต่ ปลายเดือน ก.ย.52 เพื่อจัดตั้งสำนักงานในการจัดหาวัตถุดิบสิ่งทอ ให้แก่บริษัทยี่ห้อดังทั่วโลก กว่า 100 แบรนด์ ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่า ไทยได้รับความเชื่อถือ และมีความสามารถในการผลิตมากขึ้น
นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า การแข่งขันของอุตสาหกรรมสิ่งทอ ผู้ประกอบการไทยจะต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องมีการพัฒนาด้านนวัตกรรมและการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น การที่ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้มาตรฐานสิ่งแวดล้อม “อียูเฟาเวอร์" จากสหภาพยุโรป ทำให้ไทยได้รับความเชื่อถือและเพิ่มมูลค่าการส่งออก โดยขณะนี้มี 4 ราย ที่ได้รับตามมาตรฐาน ได้แก่ บจ.ทองไทยการทอ และ บมจ.เอเชียไฟเบอร์ บจ.กรีนวิลล์ เทรดดิ้งในผลิตภัณฑ์ผ้า ไหมผืน และ บจ.อุตสาหกรรมรามาเท็กซ์ไทล์
ส่วนการพัฒนานวัตกรรมนับเป็นเรื่องสำคัญที่ทางสถาบันฯ ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด และล่าสุดมีงานวิจัย 2 เรื่องที่ได้รับรางวัลการ Demark ได้แก่ การพัฒนาสิ่งทอจากเส้นใยด้ายกล้วย และการผสมผงถ่านกะลามะพร้าว มาผลิตเป็นเสื้อผ้าและเคหะสิ่งทอ ทำให้ได้ช่องทางตลาดในยุคที่ผู้บริโภคสนใจในเรื่องการลดภาวะโลกร้อน และยังเป็นการผลิตสินค้าจากวัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์อีกด้วย