สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐและยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนลดความต้องการถือครองทองคำ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นนั้น มาจากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งส่งสัญญาณยกเลิกมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 3.3 ดอลลาร์ หรือ 0.26% ปิดที่ระดับ 1,245.80 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 13.7 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 16.654 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 1.1 ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ 923.1 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 8.50 ดอลลาร์ หรือ 1% ปิดที่ 846.10 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำปรับตัวลง หลังจากผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ของรัฐบาลสหรัฐ และผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศยุโรป ซึ่งรวมถึงพันธบัตรเยอรมนี พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือน ซึ่งส่งผลให้โลหะมีค่าจำพวกทองคำและโลหะเงิน มีความน่าดึงดูดน้อยลง
ปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นนั้น มาจากการที่ธนาคารกลางหลายแห่งส่งสัญญาณยกเลิกมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน โดยนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการยกเลิกมาตรการกระตุ้นทางการเงิน โดยกล่าวว่า มีแนวโน้มที่ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังขยายตัวใกล้เต็มศักยภาพ โดย BoE จะหารือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
ขณะที่นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ได้ส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน โดยกล่าวว่า ECB ควรปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ และนโยบายซื้อพันธบัตรจำนวนมาก ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนยังลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 1 อยู่ที่ระดับ 1.4% โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.2%
ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้เปิดเผยตัวเลขประมาณการจีดีพีครั้งที่ 1 ที่ระดับ 0.7% ก่อนที่จะปรับเพิ่มในประมาณการครั้งที่ 2 สู่ระดับ 1.2%