สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 1.59 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 49.76 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับตลอดสัปดาห์ ลดลง 2.1% และเพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนก.พ.
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ดีดขึ้น 2.53 ดอลลาร์ หรือ 4.2% ปิดที่ 62.58 ดอลลาร์/บาร์เรล และเพิ่มขึ้น 3.9% ในรอบสัปดาห์ ขณะที่ตลอดทั้งเดือน สัญญาเบรนท์พุ่งขึ้น 18% มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2552
ทั้งนี้ หลังจากที่ลดลงในช่วงตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา สัญญาน้ำมันดิบก็กลับมาปรับตัวขึ้นได้เป็นครั้งแรกในเดือนก.พ. โดยเฉพาะสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี
ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่มีอยู่สูงเกินไปได้ฉุดราคาน้ำมันให้ร่วงลงเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 8 ล้านบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 ก.พ. พุ่งขึ้น 8.4 ล้านบาร์เรล แตะที่ 434.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4 ล้านบาร์เรล และมากกว่าปีก่อนหน้านี้ถึง 71.7 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน เพิ่มขึ้น 2.419 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันในรอบสัปดาห์ดังกล่าวพุ่งขึ้นแตะ 9.285 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2526
ขณะที่ในวันศุกร์ บริษัท เบเกอร์ ฮิวส์ เปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าปริมาณการขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐลดลง โดยแท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐที่ยังคงทำงานอยู่นั้น ลดลง 43 แห่ง มาอยู่ที่ 1,267 ณ วันที่ 27 ก.พ. ซึ่งลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 12 ติดต่อกัน และลดลง 502 แห่งจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นักลงทุนจับตาการหดตัวลงของจำนวนแท่นขุดเจาะ เนื่องจากเป็นสัญญาณหนึ่งที่สะท้อนถึงการผลิตน้ำมันที่ลดลง อันอาจหมายถึงปริมาณน้ำมันดิบที่จะเข้าสู่ตลาดน้อยลงด้วย
นักวิเคราะห์กล่าวว่า สถานการณ์อุปทานล้นตลาดคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงข้ามคืน แต่ถึงกระนั้นก็เริ่มมีสัญญาณว่าราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำกำลังทำให้หลายบริษัทชะลอการผลิต