สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจในข้อตกลงปรับลดเพดานการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันรายเดือนของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 56 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 50.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 73 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 52.41 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบอ่อนแรงลงหลังจากนายอิกอร์ เซชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทรอสเนฟท์ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ระบุว่า ทางบริษัทจะไม่ปรับลดกำลังการผลิต หรือตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน แม้กลุ่มประเทศโอเปกทำข้อตกลงดังกล่าว
ทั้งนี้ นายเซชินนับเป็นผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในธุรกิจน้ำมันรัสเซีย และที่ผ่านมานั้น เขามักมีท่าทีขัดแย้งกับกลุ่มโอเปก
นายเซชินยังได้แสดงความไม่มั่นใจว่าบางประเทศในกลุ่มโอเปก เช่น อิหร่าน และซาอุดิอาระเบีย จะปรับลดกำลังการผลิตตามข้อตกลง พร้อมกับกล่าวว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเหนือ 50 ดอลลาร์/บาร์เรลจะทำให้ผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ในสหรัฐ กลับมามีกำไรจากการผลิตน้ำมัน
ท่าทีของนายเซชินถือว่าแตกต่างจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งกล่าวในที่ประชุมพลังงานโลก (World Energy Congress) ที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันจันทร์ว่า รัสเซียพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการจำกัดเพดานการผลิตน้ำมันว่า รัสเซียพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการลดกำลังการผลิตน้ำมันกับกลุ่มโอเปก
นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ระบุในรายงานวิจัยว่า แม้รัสเซียจะจับมือกับโอเปกในการลดกำลังการผลิต แต่การที่ลิเบีย,ไนจีเรีย และอิรักอาจปรับเพิ่มกำลังการผลิต ก็จะลดทอนผลบวกจากการที่รัสเซียและโอเปกลดการผลิต
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์เตือนว่า ยังคงเป็นการเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ว่า กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะร่วมมือกันลดกำลังการผลิต
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันประจำเดือนก.ย.ของกลุ่มโอเปกเพิ่มขึ้น 160,000 บาร์รเล/วัน สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 33.64 ล้านบาร์เรล/วัน