สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 3% เมื่อคืนนี้ (18 ม.ค.) จากความกังวลที่ว่าผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ของสหรัฐจะเพิ่มการผลิตน้ำมัน ท่ามกลางราคาที่กำลังดีดตัวขึ้นในระยะนี้ ซึ่งบดบังปัจจัยบวกจากรายงานของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ระบุว่า โอเปกผลิตน้ำมันลดลงในเดือนที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 1.40 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 51.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 1.55 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 53.92 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานเมื่อวันอังคารว่า การผลิต shale oil ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นในเดือนหน้า หลังจากลดลงเป็นเวลา 3 เดือน ขณะที่บริษัทต่างๆเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบดีดตัวแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 18 เดือน
EIA คาดว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 40,750 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 4.748 ล้านบาร์เรล/วัน
ด้านกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ออกรายงานในวันพุธ ระบุว่าโอเปกผลิตน้ำมัน 33.085 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนที่แล้ว ลดลง 221,000 บาร์เรล/วัน เมื่อเทียบจากเดือนพ.ย. โดยตัวเลขการผลิตน้ำมันที่ลดลงของโอเปกในเดือนที่แล้วบ่งชี้ถึงปริมาณน้ำมันส่วนเกินในตลาดที่จะลดลงในปีนี้
นอกจากนี้ รายงานของโอเปกยังได้ปรับลดคาดการณ์การผลิตน้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปกในปีนี้ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 120,000 บาร์เรล/วัน เมื่อเทียบกับระดับ 300,000 บาร์เรล/วันที่คาดการณ์ในเดือนที่แล้ว
ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากนั้นในกลางเดือนธ.ค. ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2017 และมีกำหนดเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในกลางปีนี้
การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันจากโอเปกและประเทศนอกกลุ่มโอเปก ถือเป็นความร่วมมือกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2001