สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบในวันนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 74 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 53.59 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 82 เซนต์ หรือ 1.5 ปิดที่ 55.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงหลังจากผลสำรวจของนักวิเคราะห์ซึ่งรายงานโดยสำนักข่าวซินหัวระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐมีแนวโน้มพุ่งขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 7 สัปดาห์
ด้านแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ รายงานว่า การที่สหรัฐผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) เพิ่มขึ้น และการแข็งค่าของดอลลาร์ รวมทั้งการทำสงครามราคาน้ำมัน จะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ แบงก์ ออฟ อเมริกา ได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จนถึงปี 2022 สู่ระดับ 50-70 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่ระดับ 55-75 ดอลลาร์/บาร์เรล
รายงานระบุว่า ถึงแม้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ปรับลดกำลังการผลิตร่วมกับประเทศนอกกลุ่ม แต่การที่สหรัฐเพิ่มการผลิตน้ำมัน shale oil จะสร้างความผันผวนในตลาด
รายงานชี้ว่า หากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 55 ดอลลาร์/บาร์เรล ก็จะยิ่งดึงดูดให้สหรัฐทำการผลิตน้ำมัน shale oil มากขึ้น โดยคาดว่าหากราคาน้ำมันอยู่ในช่วง 50-70 ดอลลาร์/บาร์เรล จะทำให้สหรัฐผลิตน้ำมัน shale oil เพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล/วันในปี 2017-2022
นอกจากนี้ แบงก์ ออฟ อเมริกายังคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันจะเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าในช่วงหลายปีข้างหน้า โดยเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล/วันต่อปีไปจนถึงปี 2022 ขณะที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะฉุดอุปสงค์ลง